“อนุทิน”ยกเป็นวาระแห่งชาติ ลั่นกลองรบสงครามปราบสแกมเมอร์

06 พ.ย. 2568 | 07:03 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2568 | 07:34 น.

“อนุทิน”ยกเป็น“วาระแห่งชาติ” ลั่นกลองรบทำสงครามสแกมเมอร์ นำ 15 หน่วยงานลงนาม MOU ลุยอาชญากรรมไซเบอร์ 5 มาตรการรุกหนัก สัญญา“ไม่มีเกรงใจ ไม่มีเกี้ยเซียะ ลุยลูกเดียว”

KEY

POINTS

  • นายกฯ อนุทิน ประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน
  • กำหนด 5 มาตรการหลักในการทำสงครามกับสแกมเมอร์ เช่น การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด การยึดทรัพย์ตัดเส้นทางการเงิน และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
  • นายกฯ ยืนยันจะดำเนินการอย่างจริงจังโดยไม่มีข้อยกเว้น และเตรียมลงพื้นที่ อ.แม่สอด เพื่อติดตามการส่งตัวผู้กระทำผิดข้ามแดนจากเมียนมา

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เวลา 11.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการ ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีหน่วยงานร่วมลงนามรวม 15 แห่ง ครอบคลุมทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และองค์กรด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยี 

ผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงาน กสทช. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และกระทรวงการต่างประเทศ 

พิธีดังกล่าวมีรัฐมนตรีระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้ว่าการ ธปท. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการระดับสูงเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

                     “อนุทิน”ยกเป็นวาระแห่งชาติ ลั่นกลองรบสงครามปราบสแกมเมอร์

“สงครามนี้เราต้องชนะ”  

นายอนุทิน กล่าวในพิธีว่า วันนี้เป็น “ก้าวสำคัญของประเทศไทย” ที่หน่วยงานทุกภาคส่วนรวมพลังกันประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยสแกมเมอร์ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นทางการค้า การลงทุน หรือจิตใจของประชาชน 

“สงครามนี้เราจะต้องชนะเท่านั้น เพราะเมื่อคนหนึ่งตกเป็นเหยื่อ ครอบครัวทั้งครอบครัวก็ได้รับผลกระทบ ประเทศเสียชื่อเสียง ระบบเศรษฐกิจเสียหายอย่างประเมินค่าไม่ได้” นายกฯ กล่าว

นายอนุทิน ระบุว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็น “ภัยความมั่นคงอันดับต้น ๆ ของประเทศ” รัฐบาลจึงประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” และพร้อมสนับสนุนทุกด้าน ทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และกำลังบุคลากร เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น “ดินแดนต้องห้ามของสแกมเมอร์”

                       “อนุทิน”ยกเป็นวาระแห่งชาติ ลั่นกลองรบสงครามปราบสแกมเมอร์

5 ปฏิบัติการ“สงครามสแกมเมอร์”

นายอนุทิน กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่ใช่เพียงเอกสาร แต่เป็น “อาวุธทางยุทธศาสตร์” ในการทำสงครามกับมิจฉาชีพ โดยมี 5 มาตรการหลักคือ 

1. บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ทั้งผู้กระทำผิดและผู้สนับสนุนเบื้องหลัง

2.สร้างระบบบูรณาการข่าวกรอง–สืบสวน เชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน

3.ยึดและอายัดทรัพย์สินทันที ตัดเส้นทางการเงินและขบวนการฟอกเงิน

4.ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ตรวจจับเส้นทางเงินและพฤติกรรมมิจฉาชีพ

5.สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน รณรงค์ให้รู้เท่าทันและมีส่วนร่วมแจ้งเบาะแส 

                           “อนุทิน”ยกเป็นวาระแห่งชาติ ลั่นกลองรบสงครามปราบสแกมเมอร์

 

ไม่มีเกรงใจใคร–ไม่มีเกี้ยเซียะ–ลุยลูกเดียว

นายอนุทิน กล่าวอย่างหนักแน่นว่า ภาพในวันนี้แสดงให้เห็นชัดว่า “รัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหา” และไม่มีใครในรัฐบาลหรือหน่วยงานใดเป็นเจ้าของขบวนการสแกมเมอร์ พร้อมประกาศต่อหน้าผู้บริหารทุกหน่วยงานว่า 

“ผมจะไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชนของผม ขอให้ประชาชนมั่นใจ วันนี้ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์ เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีเกี้ยเซียะ มีแต่ลุยลูกเดียว” 

พร้อมกล่าวต่อว่า ตนและข้าราชการทุกคนต่างอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ และจะใช้โอกาสนี้ทำงานให้สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศ เพื่อทดแทนบุญคุณประชาชนและขออภัยในความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นจากภัยออนไลน์

                   “อนุทิน”ยกเป็นวาระแห่งชาติ ลั่นกลองรบสงครามปราบสแกมเมอร์

ลงพื้นที่“แม่สอด”ส่งผู้ต้องหาข้ามแดน 

ด้านนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อติดตามภารกิจส่งตัวผู้กระทำผิดข้ามแดนจากพื้นที่ เคเค พาร์ค (KK Park) เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็น “ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลก” หลังเมียนมาดำเนินการกวาดล้างและผู้ต้องหากลุ่มนี้หลบหนีเข้ามาในไทย 

รัฐบาลไทยจะดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทาง พร้อมเร่งตรวจสอบเครือข่ายภายในประเทศ เพื่อปิดช่องทางการใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินหรือหลบหนีทางกฎหมาย