KEY
POINTS
ราคาทองคำและราคาเงิน เผชิญแรงขายหนักที่สุดในรอบหลายปี เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร ท่ามกลางความกังวลว่าการปรับขึ้นครั้งประวัติศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้โลหะมีค่าทั้งสองชนิดมีมูลค่าสูงเกินจริง
ราคาทองคำตลาดสปอตร่วงลงมากถึง 6.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 12 ปี ขณะที่ราคาเงินตลาดสปอตลดลงมากถึง 8.7% หลังจากสัญญาณทางเทคนิคชี้ว่าการปรับขึ้นก่อนหน้านี้อาจร้อนแรงเกินไป
แรงเทขายครั้งนี้ได้หยุดกระแสราคาที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของทองคำและเงิน ซึ่งเพิ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยราคาทองคำปรับขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ภายในสิ้นปี รวมทั้งแรงซื้อใน กระแส “debasement trade” ที่นักลงทุนบางส่วนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและสกุลเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่ลดความน่าสนใจของโลหะมีค่า โดยราคาทองคำร่วงลง 5.3% สู่ระดับ 4,125.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 16.59 น. ตามเวลานิวยอร์ก ขณะที่ราคาเงินลดลง 7.1% มาอยู่ที่ 48.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์
การปิดทำการของอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่อันดับสองของโลก เนื่องในเทศกาลดิวาลี ยังส่งผลให้สภาพคล่องของตลาดลดลงอย่างมาก ส่วนตลาดเงิน ซึ่งแตกต่างจากทองคำเพราะมีความต้องการใช้ในอุตสาหกรรม ก็เผชิญความผันผวนมากกว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อสัปดาห์ก่อน ตลาดเงินลอนดอนเผชิญภาวะ “Historic Squeeze” ส่งผลให้ราคาเงินทะลุระดับสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในปี 1980 ราคามาตรฐานในลอนดอนซื้อขายสูงกว่าสัญญาฟิวเจอร์สนิวยอร์ก ทำให้ผู้ค้าต้องเร่งส่งโลหะจากสหรัฐฯไปยังสหราชอาณาจักรเพื่อบรรเทาภาวะตึงตัว
ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ปริมาณเงินในคลังที่เชื่อมโยงกับตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ลดลงมากที่สุดในรอบวันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่สต็อกในนิวยอร์กก็ลดลงเช่นกัน
การปรับขึ้นของราคาทองคำแตะระดับสูงสุดใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน ยังได้รับแรงหนุนจากความกังวลต่อคุณภาพเครดิตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทำให้กองทุน ETF ที่ถือทองคำจริงมียอดเงินไหลเข้ามหาศาลถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว มากที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลของสภาทองคำโลกในปี 2018
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะ “Shutdown” ทำให้ผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ขาดข้อมูลรายงานรายสัปดาห์จากคณะกรรมาธิการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า (CFTC) ซึ่งระบุการถือครองสถานะของกองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนในตลาดฟิวเจอร์สทองคำและเงิน การขาดข้อมูลนี้อาจทำให้นักเก็งกำไรถือสถานะขนาดใหญ่ผิดปกติทั้งฝั่งซื้อหรือขาย
การปรับขึ้นของราคาทองคำตั้งแต่ปี 2023 ได้ช่วยดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น แม้กลุ่มนี้มักไม่ยึดมั่นกับการถือครองระยะยาวและมีแนวโน้มขายทำกำไรเร็ว ซึ่งมีส่วนทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวในรอบนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานระยะยาว เช่น การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางหลายประเทศ ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญ นักวิเคราะห์คาดว่าราคาทองคำจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า