KEY
POINTS
นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ราคาทองคำเปิดสัปดาห์ด้วยทิศทางบวกอย่างแข็งแกร่ง และในช่วงต้นสัปดาห์ปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ สะท้อนถึงกระแสความต้องการถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังคงหนาแน่น
โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงสนับสนุนขาขึ้น ประกอบด้วย
1. ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง : โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% เป็น 130% จากเดิม 30% และประกาศควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ ซึ่งมีผลวันที่ 1 พ.ย. 68
ขณะที่จีนได้ทำการตอบโต้ทันที และพร้อมใช้มาตรการสวนกลับ ทำให้ตลาดกังวลว่าสงครามการค้ารอบใหม่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีท่าทีอ่อนลง แต่ตลาดก็ยังคงมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และถือเป็นความเสี่ยง
2. ปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ : โดยเฉพาะวิกฤต Government Shutdown ที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 และยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องงบประมาณ ขณะที่การเลิกจ้างเริ่มเกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะสั้น
3. เฟดลดดอกเบี้ยหนุนราคาทองคำ : ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ในเดือนต.ค. 68 มีโอกาสสูงถึง 96% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ส่วนในเดือนธ.ค. 68 คาดว่ามีโอกาสที่ 87% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำในขณะนี้
ในแง่ของกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า ภาพรวมราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเชิงบวก เนื่องจากราคายังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองไทยประมาณ 61,960 บาท (อิงอัตราแลกเปลี่ยน วันที่ 16 ต.ค.68 ที่ระดับ 32.59 บาท) และสามารถรักษาทิศทางในกรอบขาขึ้นได้อย่างมั่นคง ดังนั้น นักลงทุนที่ถือสถานะฝั่งซื้อมาสามารถ Run Profit ต่อได้
สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้นในสัปดาห์นี้ แนะนำหาจังหวะทยอยเข้าซื้อ และหากราคาทองคำย่อตัวลง แต่ยังไม่หลุดโซนแนวรับที่ระดับ 4,090 - 4,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยประมาณ 63,000 - 62,500 บาท
และหากรักษาระดับได้ คาดว่ามีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อสู่แนวต้านโซน 4,200 - 4,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยประมาณ 64,700 - 65,300 บาท อย่างไรก็ตามยังคงแนะให้เฝ้าระวังแรงเหวี่ยงของราคาจากข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หรือการเจรจางบประมาณของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้