ทองร้อนแรง! ไทยนำเข้า 200 ตันใน 8 เดือน สมาคมทองคาดสิ้นปีนี้แตะบาทละ 69,000

16 ต.ค. 2568 | 07:36 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2568 | 07:48 น.

ราคา “ทองคำ” ยังร้อนแรง ไทยนำเข้าทองโตต่อเนื่อง 8 เดือนแรกพุ่ง 4.3 แสนล้านบาท น้ำหนักรวมกว่า 200 ตัน ส่งออกโต 73% กัมพูชา ตลาดส่งออกอันดับสอง มูลค่ากว่า 7.7 หมื่นล้าน สมาคมค้าทองคำคาดสิ้นปีนี้ราคาในประเทศแตะบาทละ 69,000

KEY

POINTS

  • ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ไทยนำเข้าทองคำปริมาณกว่า 200 ตัน เพิ่มขึ้น 57.81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • สมาคมค้าทองคำปรับเป้าหมายราคาทองคำในประเทศ ณ สิ้นปี 2568 ขึ้นเป็น 68,000-69,000 บาทต่อบาททองคำ
  • ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำคือการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะลดดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากสงคราม และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

ราคาทองคำ Spot (ตลาดโลก) ล่าสุด ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ปรับขึ้นแตะ 4,228 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ (96.5%)

  • ทองคำแท่ง รับซื้อ 64,900 บาท / ขายออก 65,000 บาท
  • ทองรูปพรรณ รับซื้อ 63,596.20 บาท / ขายออก 65,800 บาท

ทั้งนี้มีหลายปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่

  1. คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ทองจึงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยน่าสะสม
  2. ความเสี่ยงโลกสูงจากสงคราม และความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ นักลงทุนหันหาทอง (สินทรัพย์ปลอดภัย)
  3. เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทองในรูปดอลลาร์ดูถูกลง ดึงดูดนักลงทุน
  4. ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อตุนทอง เพิ่มความต้องการในตลาด
  5. เงินไหลเข้ากองทุนทองคำ (ETF) – กระตุ้นราคาเพิ่มอีก

ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่

  1. ราคาทองโลกพุ่ง เป็นตัวหลักที่ดันราคาทองไทย
  2. ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่า เมื่อแปลงราคาทองจากดอลลาร์เป็นบาทแพงขึ้น
  3. นักลงทุนแห่ซื้อทองในประเทศ เพื่อเก็งกำไร คาดหวังราคาจะขึ้นต่อ

สอดคล้องกับที่ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้ตรวจสอบสถานการณ์การนำเข้าทองคำของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) พบว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการนำเข้ามูลค่า 434,085.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.32% (ช่วงเดียวกันปีที่แล้วมีการนำเข้า 335,674 ล้านบาท) มีปริมาณการนำเข้า 200,339 กิโลกรัม (หรือกว่า 200 ตัน) จากช่วงเดียวกันของปี 2567 มีการนำเข้า 126,945 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 57.81%

สำหรับแหล่งนำเข้าทองคำ 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่

  • สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 112,255.01 ล้านบาท ลดลง -19.06% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ฮ่องกง 90,824.27 ล้านบาท ลดลง -11.25%
  • จีน 83,337.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1,240.49%
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 75,576.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1,039.46%
  • สิงคโปร์ 22,151.34 ล้านบาท ลดลง -2.91%

(ปี 2567 ไทยมีการนำเข้าทองคำ 543,776.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +96.46% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปริมาณการนำเข้า 199,472 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 55.57%)

ด้านการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปของไทยช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 289,681.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +73.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ที่มีมูลค่าส่งออก 167,152 ล้านบาท) โดยมีปริมาณการส่งออก 88,409 กิโลกรัม จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการส่งออก 65,155 กิโลกรัม หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 35.69%

ตลาดส่งออก 5 อันดับแรก ได้แก่

  • สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 127,160.55 ล้านบาท +138.64%
  • กัมพูชา 77,641.65 ล้านบาท +18.91%
  • สิงคโปร์ 39,138.87 ล้านบาท +59.79%
  • สปป.ลาว 12,375.43 ล้านบาท +167.45%
  • ฮ่องกง 10,550.88 ล้านบาท -23.80%

(ปี 2567 ไทยส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูป 304,124.19 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 47.28% โดยมีปริมาณการส่งออก 114,057 กิโลกรัม จากช่วงเดียวกันของปี 2566 มีปริมาณส่งออก 97,077 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 17.49%)

อย่างไรก็ดี นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ออกมาระบุว่า ราคาทองคำยังร้อนแรงไม่หยุด โดยทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่รายวัน ล่าสุด (15 ต.ค. 68) ทางสมาคมฯ ได้ประกาศปรับเป้าหมายราคาทองคำสิ้นปี 2568 ขึ้นเป็น 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเทียบเท่าราคาทองไทยที่ 68,000–69,000 บาท ชี้ให้เห็นถึงราคาทองที่แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นชัดเจน จากปัจจัยหนุนเรื่องเฟดลดดอกเบี้ยและความไม่แน่นอนในสหรัฐ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่ใช่ภาวะฟองสบู่ แต่เป็นการขึ้นจากกระแสที่แรงมาก