บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยบทวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดการเงินโลกล่าสุด โดยระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (18 ตุลาคม) ปรับตัวลงแรงในกรอบ -0.5% ถึง -2.1% จากแรงขายของนักลงทุนที่เลือกลดความเสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนหลายด้าน
ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ปัญหาสินเชื่อของภาคธนาคาร ความกังวลต่อฟองสบู่หุ้นกลุ่ม AI รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน และความเสี่ยง “Government Shutdown” ที่อาจยืดเยื้อเกิน 25 วัน
รายงานระบุว่า บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกเข้าสู่ภาวะ “Risk-off Mode” หรือการลดความเสี่ยงในพอร์ต หลังผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ร่วงลงสู่ระดับ 3.97% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายราว 28 จุดฐาน เทียบเท่าการลดดอกเบี้ยหนึ่งครั้ง สะท้อนความคาดหวังของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน จากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่เริ่มผ่อนคลาย ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัว ส่งผลให้นักลงทุนโยกเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตร ซึ่งต่างขยับขึ้นมาโดดเด่นอีกครั้ง
โดยราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-time High) ขณะที่ Bond Yield สหรัฐฯ ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
อีกสัญญาณที่สะท้อนความระมัดระวังในตลาด คือ สถิติการซื้อขายของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (Insider Trade) สหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าในจำนวน 200 รายการใหญ่ มีถึง 197 รายการเป็นการขายสุทธิ โดยเฉพาะหุ้นชั้นนำอย่าง NVIDIA (NVDA), CrowdStrike (CRWD) และ Dell (DELL)
ในฝั่งบวกของตลาดโลก บทวิเคราะห์ระบุว่า TSMC ผู้ผลิตชิปเบอร์หนึ่งของโลก รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 แข็งแกร่งกว่าคาดทุกมิติ รายได้ทำจุดสูงสุดใหม่จากความต้องการชิปขนาด 5 นาโนเมตรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ ASML แม้รายได้ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่กำไรยังออกมาดีกว่าตลาดประเมิน
แนวโน้มไตรมาส 4 ของทั้งสองบริษัทยังคงสดใส จากความต้องการชิปในตลาด Data Center และ Cloud Computing ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยแนะนำให้นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร สามารถเข้าลงทุนอย่างระมัดระวัง ผ่านกองทุนหรือ DR ที่อ้างอิงกับ TAIWAN19 และ ASML01
ในฝั่งประเทศไทย บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ปรับขึ้นแตะระดับ 1.60% ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย สะท้อนมุมมองตลาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจยังไม่เร่งลดดอกเบี้ยในระยะสั้น ตรงข้ามกับฝั่งสหรัฐฯ ที่อยู่ในแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
ภาวะดังกล่าวทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตร (Spread) ไทย–สหรัฐฯ แคบลง ซึ่งตามสถิติในอดีต มักส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามกลไกเงินทุนเคลื่อนย้าย และอาจเป็นแรงหนุนให้เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ทยอยกลับเข้าสินทรัพย์ไทยในระยะสั้น
บล.เอเชีย พลัส แนะนำให้นักลงทุนรักษาสัดส่วนเงินสดในพอร์ตให้สูงขึ้น เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อความผันผวนคลี่คลาย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกยังอยู่ในโหมดระมัดระวังการลงทุน ขณะที่หุ้นเด่นในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งและผลประกอบการไตรมาส 3 ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ GULF, BGRIM, BH และ ERW