นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงข่าวสรุปภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยระบุว่า ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ประจำไตรมาสสองปี2568 ยังมีเสถียรภาพ โดยระบบธนาคารพาณิชย์ ยังคงมีความมั่นคงทั้ง 3ปัจจัย “เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง เงินสำรองและเงินสภาพคล่อง(LCR)ยังอยู่ในระดับสูง
แต่ยังต้องติดตามภาวะการเงินโดยรวมที่ยังมีความตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ และครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงอาจจะมีธุรกิจและครัวเรือนได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ แม้เบื้องต้นมีความชัดเจนไทยโดนเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 19%
สำหรับสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์รวมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจของธพ.หดตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาส1 ที่ติดลบ 1.3%โดยสินเชื่อไตรมาสติดลบ 0.9% หลักๆมาจากสินเชื่อหดตัว ธุรกิจเอสเอ็มอีกับสินเชื่ออุปโภคบริโภค ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง
เมื่อพิจารณาไส้ใน พบว่า สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขยายตัวได้ดีขึ้น โดยขยายตัว 2.7%YoY ส่วนใหญ่ขยายตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การเงินและอุตสาหกรรมการผลิตในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้มีการเร่งผลิตเพื่อส่งออก(ก่อนจะชะลอในช่วงภาษีนำเข้าของสหรัฐ) สินเชื่อธุรกิจหดตัวน้อยลงจากติดลบ 0.8%YoY เป็นติดลบ 0.1%
ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอียังคงหดตัวต่อเนื่องและเป็นการหดตัวในทุกกลุ่ม หลักๆเห็นความระมัดระวังในการให้สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์กับลูกหนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีและส่วนใหญ่กลุ่มลูกหนี้เดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดีและยังมีหลักทรัพย์ค้ำประกันยังเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มลูกค้าใหม่อาจยังมีความยากในการเข้าถึงสินเชื่อ
สำหรับสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวจากเช่าซื้อ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังขยายตัวในระดับที่0.1%ชะลอลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เม็ดเงินสินเชื่อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มในไตรมาสสองนี้ หลักๆน่าจะเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการLTVและผ่อนปรนค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ของทางการด้วย
อย่างไรก็ดี สินเชื่อเช่าซื้อยังคงหดตัวต่อเนื่องแม้จะหดตัวลดลง ที่ 9.7% จากความระมัดระวังในการให้สินเชื่อ อย่างไรก็ดีเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากยอดขายรถยนต์ไตรมาส2ปีนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยประจำไตรมาสของปีที่แล้ว และสัญญาณยึดเริ่มน้อยลงต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1ส่งผลให้ดัชนีราคารถยนต์มือสองมีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเทียบช่วง 1-2ปีที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับสินเชื่อบัตรเครดิตยังคงหดตัวต่อเนื่องโดยติดลบ 1.9% โดยเฉพาะกลุ่มผู้ถือบัตรที่มีรายได้เกิน 50,000บาทมีการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ลดลง และสินเชื่อส่วนบุคคลหดตัวเล็กน้อยที่ 0.1% ส่วนใหญ่หดตัวจากที่มีการปล่อยกู้ไปมากในช่วงก่อนหน้า ทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และโฮมฟอร์แคช
ทั้งนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อชะลอลงจากการเร่งชำระคืนหนี้เป็นสำคัญ ขณะที่สินเชื่อปล่อยใหม่โดยรวมยังทรงตัว และแนวโน้มสินเชื่อโดยรวมชะลอตัวเพราะอยู่ในช่วง Deleverage จากภาระหนี้ที่สูง ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือช่วง COVIDทำให้หนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังขยายตัวแม้เศรษฐกิจหดตัวสูง
“ ในภาวะวิกฤตโควิดปี 2563 ต่อเนื่องปี 2564 นั้น จีดีพีปรับตัวลดลง แต่สินเชื่อต่อจีดีพีปรับสูงขึ้น ซึ่งการสะสมของสินเชื่อในช่วงดังกล่าวมาจากมาตรการช่วงเหลือต่างๆเพื่อรักษาสภาพคล่อง ทำให้เมื่อเวลาไปผ่านไป แนวโน้มสินเชื่อจะชะลอตัวต่อไปอีกระยะหนึ่งจากการสะสมความเปราะบางในช่วงที่เจอวิกฤติ
ดังนั้น ยอดคงค้างของสินเชื่อชะลอตัวลง หลักๆมาจากการเร่งชำระคืนหนี้เป็นจำนวนมาก แม้สินเชื่อยังคงเปล่อยอยู่ทำให้โดยรวมสินเชื่อปล่อยใหม่ยังทรงตัว”
นางสาวสุวรรณีกล่าวเพิ่มเติมว่า การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้หดตัวเพิ่มขึ้น หลักๆมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายที่หันมากู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมและนำไปชำระหนี้หุ้นกู้ด้วย สำหรับนักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ประเภทไฮยีลด์ที่มีความเสี่ยงสูง
ด้านคุณภาพสินเชื่อนั้น ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือNPL (Stage3) ทรงตัวที่ ระดับ 2.91% จาก 2.90%ไตรมาสก่อน แต่มูลค่าNPLมีปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย มาอยู่ที่ 554.9พันล้านบาท หลักๆมาจากสินเชื่อธุรกิจเป็นสำคัญ โดยสินเชื่อธุรกิจที่เป็นเอ็นพีแอล ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มที่เคยผ่านการให้ความช่วยเหลือมาแล้วหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดธุรกิจไม่ฟื้นตัว
สำหรับสินเชื่อ Stage 2 ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต ยกเว้นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อเกิน 500 ล้านบาท โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน Stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% จาก 6.97%ไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริหารจัดการคุณภาพหนี้
ขณะที่สินเชื่อรายย่อยทั้งปริมาณและอัตราส่วนเอ็นพีแอลส่วนใหญ่ปรับลดลงในทุกประเภทสินเชื่อทั้งบ้าน บัตรเครดิต เช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคลสอดคล้องกับสินเชื่อStage2ภาพรวมปรับลดลงเกือบทุกพอร์ต
ยกเว้นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อเกินกว่า 500ล้านบาทโดยStage2เพิ่มขึ้นเล็กน้อยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกหนี้ที่สถาบันการเงินจัดชั้นเชิงคุณภาพจากผลประกอบการที่ออกมาในเชิงด้อยลง ทำให้มีการจัดชั้นเชิงคุณภาพลักษณะConservativeเพิ่มเติม
ส่วนสินเชื่อStage2ก็ปรับลดลงเกือบทุกพอร์ตสินเชื่อ ยกเว้นสินชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีการจัดชั้นเชิงคุณภาพ ส่วนใหญ่การปรับลดของNPL และStage2 มาจากลูกหนี้กลุ่มที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้และสามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขของการปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามที่กำหนด
“ในStage2 ส่วนกลุ่มเอสเอ็มอี /ซัพพลายเชนกลุ่ม import flooding น่าเป็นห่วงเราจะดูข้อเสนอทำให้ธุรกิจเหล่านี้ปรับตัวได้อย่างไร แนวโน้มเอ็นพีแอลน่าจะทะยอยเพิ่มบ้าง แม้ว่าที่ผ่านมาNPL และ Stage2ของกลุ่มสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงในทุกประเภทสินเชื่อรายย่อย ”
นางสาวสุวรรณีกล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส2ปีนี้ โดยระบุว่า ปรับดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน หลักๆมาจากเงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาลคือ ส่วนที่เป็นรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ขณะค่าใช้จ่ายสำรองฯปรับเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่แล้วรวมถึงไตรมาสที่4 ปีที่แล้วด้วย
ส่วนรายได้ดอกเบี้ยปรับลดลง สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงมาตรการช่วยเหลือที่มีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกค้า ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)ปรับลด จาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.72% ในไตรมาส2 โดยที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA)กับผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น(ROE)ปรับดีขึ้นเล็กน้อย
ด้านหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาสที่1ของปี2568อยู่ที่ 87.4% คาดการณ์ตัวเลขไตรมาส2 น่าจะออกมาต้นเดือนหน้าแนวโน้มหนี้ครัวเรือนน่าจะปรับลดลงจาก 87.4%เล็กน้อย หลักๆมาจากสินเชื่อภาคครัวเรือนชะลอลงเป็นสำคัญ และจีดีพีที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่น่าจะยังสูงกว่าระดับ 87% ต่อจีดีพี
ทั้งนี้ในระยะต่อไปยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อครัวเรือนต่อไป แม้ตัวเลขทั้งNPL และ Stage2ของลูกหนี้รายย่อยจะมีแนวโน้มปรับลดลง ส่วนของหนี้ธุรกิจต่อจีดีพีก็ไปในทิศทางสอดคล้องหนี้ครัวเรือนมีการปรับลดลงจาก 83.7% ลงมาอยู่ที่ 83.2%ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยที่การก่อหนี้ทรงตัว
สำหรับความสามารถในการทำกำไรโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่แล้ว แต่หากเทียบไตรมาส2ช่องเดียวกันปี67 พบว่า มีการปรับลดลง แม้ว่าการผลิตจะดีขึ้นจากการเร่งส่งออกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการอื่นๆยังเผชิญแรงกดดัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและกำลังซื้อที่ชะลอลงงในตลาดที่อยู่อาศัย
นางสาวสุวรรณีกล่าวถึงความช่วยเหลือลูกหนี้โดยการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้หลักเกณฑ์ Responsible Lending พบว่า ครึ่งแรกของปีนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สะสมของระบบสถาบันการเงิน (ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ นันแบงก์ ทั้งที่อยู่ในกลุ่มและนอกกลุ่ม แบงก์รัฐ) รวม 2.54ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้ประมาณ 1.5แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบัญชีของลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล
ส่วนความคืบหน้ามาตรการ “คุณสู้เราช่วย”ระยะที่2 พบว่า ลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการปรับเพิ่มขึ้นมีจำนวน 3.7ล้านราย ยอดหนี้1.2ล้านล้านบาท โดยมีลูกหนี้ลงทะเบียนแล้ว 1.7ล้านคน จำนวน 2.2ล้านบัญชี (เนื่องจากตอนลงทะเบียนไม่ทราบยอดหนี้) โดยในส่วนลูกหนี้1.7ล้านคนนั้นทางสถาบันการเงินตรวจสอบและมีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ 740,000รายคิดเป็น 20%ของจำนวน 3.7ล้านรายสำหรับยอดหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการได้อยู่ที่ 530,000ล้านบาทคิดเป็น 44%
โดยในจำนวนลูกหนี้ 7.4แสนรายกับ 5.3แสนรายนั้น ส่วนใหญ่เป็นมาตรการ “จ่ายตรง-คงทรัพย์”เป็นหลัก ซึ่งมีจำนวน 6.3แสนรายหรือคิดเป็น 85%เป็นมาตราการจ่ายตรงคงทรัพย์ แต่ในแง่มูลหนี้ 98%เป็นมาตรการจ่ายตรงคงทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้าน (ถ้าเป็นจำนวนรายจะเป็นรถยนต์)เพราะมูลค่าบ้านต่อหลังจะแพงกว่ามูลค่ารถยนต์
“ ลูกหนี้7.4แสนรายที่เข้ามาเรากำลังให้สถาบันการเงินเร่งติดต่อลูกหนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือจริง ซึ่งเมื่อลูกหนี้ลงทะเบียนแล้วได้รับแจ้งจากสถาบันการเงินว่าเข้าเงื่อนไขของมาตรการได้ ขอให้ทางลูกค้าเข้าไปทำสัญญาหรือข้อตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดขึ้นได้จริง”
ทั้งนี้ยังคงเชิญชวนให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ “คุณสู้เราช่วย”ระยะ2 ซึ่งมีการปรับเงื่อนไขที่สามารถเพิ่มเติมการให้ความช่วยเหลือ โดยสามารถลงทะเบียนได้จนถึงสิ้นเดือนก.ย.2568