ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้แบงก์ส่งผ่านดอกเบี้ยสู่ตลาดสินชื่อ 0.25%ลดภาระดอกเบี้ยราว 5,000-7,000ล้านบาท

18 ส.ค. 2568 | 07:55 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ส.ค. 2568 | 08:05 น.

แบงก์ส่งผ่านดอกเบี้ยสู่ตลาดสินเชื่อในรอบนี้ เท่ากับกนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลดภาระดอกเบี้ยราว 5,000-7,000ล้านบาท อานิสงส์ส่วนใหญ่อยู่กับสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านแลกเงิน

ในช่วงกลางเดือนส.ค. 2568 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลายแห่งทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปที่ระดับ 1.50% ในการประชุมรอบล่าสุด 13 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และ “เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง”

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อสถานการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของแบงก์ในรอบนี้ดังนี้

• การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของแบงก์รอบนี้ ส่งผ่านได้ “เร็วและเต็มที่” กว่าการปรับลดดอกเบี้ยในรอบก่อน ๆ ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กลุ่ม D-SIBs (ยอดคงค้างสินเชื่อรวมกันประมาณ 85% ของระบบแบงก์ไทย)

ประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียวในช่วง 1-2 วันภายหลังการประชุมกนง.รอบล่าสุด และเป็นที่น่าสังเกตว่า ขนาดการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MRR และ MOR ลง 0.25% ในรอบนี้ เท่ากับขนาดการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคงต้องยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่พบบ่อยนักในช่วงดอกเบี้ยขาลงระยะหลัง ๆ (รูปที่ 1)  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้แบงก์ส่งผ่านดอกเบี้ยสู่ตลาดสินชื่อ 0.25%ลดภาระดอกเบี้ยราว 5,000-7,000ล้านบาท

ผลดีของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงลงถึง 0.25% เท่ากันทั้ง 3 ประเภท (MLR, MRR, MOR) จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้ได้มากกว่าการลดดอกเบี้ยของแบงก์ในรอบก่อน ๆ

ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้รอบนี้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือนส.ค.-ธ.ค. 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจและรายย่อยที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับดอกเบี้ยลงก่อนสิ้นปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 56-58% ของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย)

ขณะที่ ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อยปรับลดลงรวมกันประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าผลดีของการปรับลดดอกเบี้ยในรอบก่อนในเดือนพ.ค. 2568 ที่ประเมินไว้ที่ 4,400-4,900 ล้านบาท โดยอานิสงส์ส่วนใหญ่จะอยู่กับสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน 

• แม้การลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อสัญญาสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี ด้วยภาพเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2568 ที่อาจขยายตัวได้ต่ำกว่าครึ่งปีแรก และยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายประเด็นที่อาจกดดันความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์ภาพรวมสินเชื่อระบบแบงก์ไทยในปี 2568 ไว้ที่ -0.6% ตามเดิม ซึ่งนับเป็นการติดลบของสินเชื่อระบบแบงก์ไทยเป็นปีที่สองติดต่อกัน สอดคล้องกับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ยังอยู่ในช่วงขาลง ย้ำภาพ Debt Deleveraging ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจากช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 

อ่านต้นฉบับ