ในยุคที่ข้อมูลความรู้ทางการเงินหาได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากกลับยังไม่สามารถเปลี่ยนความรู้ ให้กลายเป็นการลงมือทำได้จริง
โดยผลสำรวจล่าสุด “สำรวจความคิด มนุษย์เงินเดือนที่มีหนี้” ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จากกลุ่มตัวอย่างแรงงานในระบบที่มีหนี้และมีรายได้สม่ำเสมอจำนวน 307 คน ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 - มกราคม 2568 สรุป พบว่า
สะท้อนภาพชัดเจนว่า แม้คนส่วนใหญ่จะมีความรู้และทัศนคติทางการเงินที่ดี แต่กลับมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่นำสิ่งเหล่านั้นไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน คำถาม คือ กับดักที่ซ่อนอยู่ในใจมนุษย์เงินเดือนไทยคืออะไร ทำไมจึงยังติดอยู่กับหนี้ แม้จะรู้ทางออกดีอยู่แล้ว และคำถามตามมา คือ มีวิธีเปลี่ยนความรู้ให้ลงมือทำเพื่อจัดการหนี้หรือไม่
ผลสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 307 คน ซึ่งล้วนมีรายได้ประจำและมีภาระหนี้สิน สะท้อนภาพที่น่าตกใจและชวนให้ขบคิด แม้กลุ่มตัวอย่างจะมีความรู้ทางการเงินอยู่ในระดับดีมาก (69.56%) และมีทัศนคติทางการเงินที่ยอดเยี่ยม (84.89%) แต่เมื่อพิจารณาถึงการลงมือปฏิบัติจริง กลับพบว่าคะแนนเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 65% เท่านั้น
นอกจากนี้ ผลสำรวจ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม “รู้” ว่าการออมเงินสำคัญ และเข้าใจหลักการวางแผนทางการเงินอย่างถูกต้อง และเกือบทั้งหมด “เชื่อ” ว่าควรมีเงินสำรองฉุกเฉินและตั้งเป้าหมายทางการเงิน แต่มีเพียง 37.73% เท่านั้นที่ “บันทึกรายรับ-รายจ่าย” และมีเพียง 60.10% ที่วางแผนค่าใช้จ่าย ส่วน 71.25% “ควบคุมการใช้เงิน” อย่างจริงจัง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ แม้ทัศนคติทางการเงินของกลุ่มตัวอย่างจะดีมาก เช่น 93.09% เห็นความสำคัญของการมีเป้าหมายปลดหนี้ หรือ 91.06 กล้าเผชิญหน้ากับหนี้ที่ตัวเองก่อ แต่เมื่อถึงเวลาต้อง “ลงมือจัดการการเงิน” กลับมีเพียง 65% เท่านั้น สะท้อนถึงการไม่สามารถรักษาวินัยทางการเงินได้อย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆ ทัศนคติดี แต่พฤติกรรมยังไม่เปลี่ยน
ช่องว่างระหว่าง “รู้” กับ “ทำ” เป็นกับดักที่มนุษย์เงินเดือนจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจคิดว่าแค่มีความรู้การวางแผนการเงินก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริง คือ ความรู้จะไม่มีความหมาย หากไม่ถูกนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น ผลสำรวจนี้จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาหนี้สินของมนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก ไม่ได้เกิดจากการขาดความรู้หรือทัศนคติที่ดี แต่เกิดจากการขาดแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนความรู้ให้ลงมือทำ เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่ดีกว่า
หลายคนที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเริ่มบันทึกรายรับ-รายจ่าย ตั้งแต่ต้นเดือน แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็ลืม หรือเคยวางแผนจะออมเงินทุกเดือน แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องหยิบเงินออมมาใช้ก่อนเสมอ ปรากฏการณ์นี้เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ติดอยู่โดยไม่รู้ตัว สำหรับสาเหตุของช่องว่างนี้มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
พฤติกรรมและอารมณ์
ผู้คนมักเลือกทำสิ่งที่ง่ายและสบายใจ มากกว่าสิ่งที่ถูกต้องหรือควรทำ เช่น การบันทึกรายรับ-รายจ่ายอาจดูน่าเบื่อและยุ่งยาก การควบคุมการใช้เงินอาจทำให้รู้สึกอึดอัด และเมื่ออารมณ์เหนื่อยล้าจากการทำงาน หลายคนจึงเลือกช้อปปิ้งปลอบใจหรือกินหรูสักมื้อ แทนที่จะเก็บเงิน
แม้จะรู้ว่าควรออมเงิน แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายที่จับต้องได้ เช่น จะออมเพื่อซื้อบ้านใน 5 ปี หรือจะปลดหนี้ให้หมดใน 2 ปี แรงจูงใจในการลงมือทำก็จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์เงินเดือนจำนวนมากจึงติดอยู่ในวังวน “เริ่มต้นดี แต่จบไม่สวย” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สังคมยุคใหม่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าและแรงกดดันให้ใช้จ่าย โฆษณาออนไลน์ โปรโมชั่นลดราคา ไลฟ์สไตล์ของเพื่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้ “ใช้ก่อน คิดทีหลัง” แม้จะรู้ว่าควรประหยัด แต่ก็ยากจะต้านทานกระแสเหล่านั้น
มนุษย์เงินเดือนหลายคนมีความคิดว่า “ไว้ค่อยเริ่มต้นเดือนหน้า” หรือ “ตอนนี้ยังไม่พร้อม” แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเสียที สุดท้ายความตั้งใจดีๆ ก็กลายเป็นเพียงแค่ความคิด
การเข้าใจว่าช่องว่างระหว่าง “รู้” กับ “ทำ” ไม่ใช่เรื่องของความขี้เกียจหรือไร้ความรับผิดชอบ แต่เป็นเรื่องของพฤติกรรมที่ต้องการแรงกระตุ้น วิธีการ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เมื่อตระหนักถึงกับดักเหล่านี้และหาวิธีรับมือได้ จะทำให้สามารถเปลี่ยน “ความรู้” ให้กลายเป็น “การลงมือทำ” ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในโลกของการเงินส่วนบุคคล ความรู้และทัศนคติที่ดีอาจยังไม่เพียงพอ หากยังมี “ความเชื่อผิด ๆ” เพราะความเชื่อเหล่านี้เปรียบเสมือนกำแพงที่ขวางกั้นไม่ให้ก้าวข้ามปัญหาหนี้สินได้อย่างแท้จริง
หลายคนปลอบใจตัวเองว่า “ขอแค่มีความสุขก็พอ เรื่องเงินเอาไว้ทีหลัง” แต่ในความเป็นจริง ความมั่นคงทางการเงิน คือ รากฐานสำคัญของความสุขระยะยาว การละเลยการจัดการหนี้เพราะคิดว่าเงินไม่สำคัญ สุดท้ายอาจนำไปสู่ความเครียดและความกังวลที่กัดกินความสุขในชีวิตประจำวัน
บางคนมองว่าการเป็นหนี้เป็นเรื่องปกติในชีวิต “เป็นหนี้บัตรเครดิตก็แค่จ่ายขั้นต่ำ เดี๋ยวก็หมด” แต่ความคิดนี้ทำให้มองข้ามอันตรายของดอกเบี้ยทบต้นและภาระหนี้ที่พอกพูน จนบางครั้งกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไขในอนาคต
หลายคนคิดว่าต้องมีเงินเหลือก่อนถึงจะเริ่มวางแผนการเงิน แต่ความจริงแล้ว การวางแผนและจัดการหนี้ ควรเริ่มตั้งแต่มีรายได้ แม้จะมีเงินเหลือเพียงเล็กน้อย การเริ่มต้นเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ จะสร้างวินัยและผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว
เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างล้วนมีหนี้สิน บางคนจึงรู้สึกว่าการเป็นหนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องรีบแก้ไข แต่ความจริงแล้ว หนี้ที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องจะกลายเป็นภาระที่ฉุดรั้งโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิต
ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้อาจดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่หากปล่อยให้ฝังรากลึกในความคิดอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการจัดการหนี้และการสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง ดังนั้น หากต้องการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิตทางการเงินของตัวเองอย่างจริงจังควรทลายกำแพงความเชื่อผิดๆ เหล่านี้
เมื่อรู้แล้วว่าช่องว่างระหว่าง “ความรู้” กับ “การลงมือทำ” เป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดการหนี้ ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนความรู้ที่มีให้กลายเป็นพฤติกรรมจริงในชีวิตประจำวัน เพราะการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนอนาคตทางการเงินของตัวเองได้จริง
อย่าตั้งเป้าหมายใหญ่จนเกินไปในครั้งแรก เช่น จะปลดหนี้ทั้งหมดในปีเดียว เพราะอาจทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้จริง เช่น บันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน ออมเงินวันละ 20 บาท ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสัปดาห์ละ 1 รายการ เมื่อทำได้สำเร็จจะเกิดความภูมิใจและสร้างแรงผลักดันให้ก้าวต่อไป
ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น ตั้งระบบโอนเงินอัตโนมัติไปบัญชีออมเงินหรือบัญชีชำระหนี้ทุกเดือน ใช้แอปพลิเคชันบันทึกรายรับ-รายจ่ายที่ใช้งานง่าย ตั้งเตือนชำระหนี้ล่วงหน้า เพื่อช่วยลดโอกาสลืมหรือผัดวันประกันพรุ่ง
เมื่อทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ อย่าลืมให้รางวัลตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไปทานอาหารที่ชอบ ซื้อของขวัญชิ้นเล็กๆ เพราะการให้รางวัลจะช่วยให้รู้สึกสนุกและอยากทำต่อเนื่อง
กำหนดเวลาทบทวนแผนการเงินทุกเดือน ตรวจสอบว่าบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ หากยังไม่สำเร็จให้หาสาเหตุและปรับแผนให้เหมาะสม ซึ่งการทบทวนจะช่วยให้ไม่หลุดเป้าหมายและปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ปัญหาหนี้ของมนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก ไม่ได้เกิดจากการขาดความรู้หรือทัศนคติที่ดี แต่เกิดจากการหยุดแค่มี “ความรู้” โดยไม่เปลี่ยนเป็น “การลงมือทำ” ในชีวิตจริง เพราะการจัดการหนี้และสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรือพรสวรรค์ แต่เป็นเรื่องของ “การลงมือทำ” อย่างสม่ำเสมอ