เปิดแผน คลังรับมือสังคมสูงวัย: เตรียมระบบการเงินการคลังยั่งยืน

22 พ.ค. 2568 | 05:30 น.

กระทรวงการคลังเตรียมรับมือสังคมสูงวัยด้วยกลยุทธ์การเงินการคลังที่ยั่งยืน ทั้งปรับโครงสร้างภาษี ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บ วางนโยบาย Negative Income Tax และส่งเสริมเศรษฐกิจโต 5% เพื่อความมั่นคงระยะยาว

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ปัญหาที่ตามมาไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพและสังคม แต่ยังรวมถึงความท้าทายทางการคลังที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ กระทรวงการคลังได้วางแผนและมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

 

ความท้าทายของสังคมผู้สูงอายุที่มีต่อระบบการคลัง

สังคมผู้สูงอายุนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการคลังอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงการคลังได้วิเคราะห์ผลกระทบหลักไว้ 3 ประการ:

  1. ฐานภาษีที่หดตัวลง: เมื่อคนทำงานมีจำนวนน้อยลง แต่ผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น ฐานภาษีย่อมแคบลง ส่งผลให้รายได้ภาครัฐลดลง
  2. ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้น: รัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อดูแลผู้สูงอายุทั้งในด้านสุขภาพ และการดำรงชีพ
  3. แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว: กำลังแรงงานที่ลดลงส่งผลต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ เป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้ทัศนะไว้ว่า "การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ จำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างเป็นระบบ ในขณะที่เราต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตแข็งแรงในอัตรา 5% เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้"

 

เปิดแผน คลังรับมือสังคมสูงวัย: เตรียมระบบการเงินการคลังยั่งยืน

 

แผนการรับมือของกระทรวงการคลัง

กระทรวงการคลังได้วางแผนและพัฒนานโยบายหลายประการเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้:

1. การปรับโครงสร้างภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ

การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงการคลังกำลังเร่งดำเนินการ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้เพื่อลดช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาล

"ต้องยอมรับความจริงว่า การขาดดุลงบประมาณของประเทศไทยมีมาต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และในปัจจุบันเราขาดดุลงบประมาณปีละกว่า 860,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก" นายลวรณกล่าว

การปรับโครงสร้างภาษีจะดำเนินการควบคู่ไปกับการควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เร่งรัดให้การปรับโครงสร้างภาษีเสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้ประเทศมีฐานรายได้ที่มั่นคงสำหรับอนาคต

2. การใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี

การนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญ ปลัดกระทรวงการคลังได้ยกตัวอย่างว่า กรมสรรพากรมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีประมาณ 2,000 คน แต่ต้องดูแลผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดากว่า 11 ล้านคน และนิติบุคคลอีกกว่า 600,000-700,000 ราย

"เราควรจะต้องอัปเกรดการทำงานโดยให้เจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาเทรน AI และให้ AI ช่วยตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีของคนทั้งหมด ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีจะสูงขึ้นมาก โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบภาษี" นายลวรณชี้แจง

3. ระบบ Negative Income Tax เพื่อสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ

ด้วยแนวคิด Negative Income Tax ที่อยู่บนพื้นฐานของ Data Lake กระทรวงการคลังคาดว่าจะช่วยจัดระบบสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เงินช่วยเหลือจะถูกจัดสรรตรงไปยังผู้ที่มีความจำเป็น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย

ระบบนี้จะช่วยให้การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการของประเทศมีความยั่งยืนมากขึ้น ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาว

4. ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

กระทรวงการคลังตั้งเป้าผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับ 5% ซึ่งเป็นอัตราที่จะรองรับการจ้างงานและสร้างรายได้ภาษีที่เพียงพอต่อการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำและการยกระดับภาคเกษตร จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในระยะยาว

"เราเป็นประเทศเกษตรกรรม หนีไปไม่พ้น ไม่มีทางด่วนไปเป็นอุตสาหกรรมเต็มตัว ไม่มีทาง ยังไงก็ต้องอยู่กับเกษตร แต่เราต้องอัปเกรดภาคเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น" นายลวรณกล่าว พร้อมเสริมว่ากระทรวงการคลังสนับสนุนการลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรเป็นประจำ

5. จัดทำงบการคลังระยะปานกลาง

กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนงบการคลังระยะปานกลาง เพื่อวางกรอบการบริหารงบประมาณในอนาคต โดยมุ่งเน้นการรัดเข็มขัดและควบคุมไม่ให้รายจ่ายเติบโตเร็วเกินไป

แผนดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีกรอบการดำเนินนโยบายการคลังที่ชัดเจน ทำให้การบริหารงบประมาณมีวินัยและความยั่งยืนในระยะยาว

 

การสร้างความเชื่อมั่นและการสื่อสารกับประชาชน

กระทรวงการคลังตระหนักดีว่า การสร้างความเข้าใจกับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายทางการคลัง โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องมีการปรับขึ้นภาษีในอนาคต

"ถ้าวันที่เราต้องขึ้นภาษี สิ่งที่ต้องอธิบายกับประชาชนคือ เรารัดเข็มขัดแล้ว รายจ่ายที่ไม่จำเป็นฟุ่มเฟือยตัดไปแล้ว เราเพิ่มประสิทธิภาพทุกอย่างหมดแล้ว การจ่ายเงินภาษีไม่มีการรั่วไหล ทุกอย่างโปร่งใสที่สุด ตรวจสอบได้ และสิ่งที่เขาจะได้กลับคืนไป เช่น สวัสดิการของคนแก่หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะได้อะไร ต้องอธิบาย 4 เรื่องนี้ไปพร้อมกัน คนจะยอมรับว่า การขึ้นภาษีมันจำเป็น" นายลวรณอธิบาย