ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ปัญหาที่ตามมาไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพและสังคม แต่ยังรวมถึงความท้าทายทางการคลังที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ กระทรวงการคลังได้วางแผนและมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
สังคมผู้สูงอายุนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการคลังอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงการคลังได้วิเคราะห์ผลกระทบหลักไว้ 3 ประการ:
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้ทัศนะไว้ว่า "การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ จำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างเป็นระบบ ในขณะที่เราต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตแข็งแรงในอัตรา 5% เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้"
กระทรวงการคลังได้วางแผนและพัฒนานโยบายหลายประการเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้:
1. การปรับโครงสร้างภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ
การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงการคลังกำลังเร่งดำเนินการ โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้เพื่อลดช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของรัฐบาล
"ต้องยอมรับความจริงว่า การขาดดุลงบประมาณของประเทศไทยมีมาต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปี และในปัจจุบันเราขาดดุลงบประมาณปีละกว่า 860,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก" นายลวรณกล่าว
การปรับโครงสร้างภาษีจะดำเนินการควบคู่ไปกับการควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เร่งรัดให้การปรับโครงสร้างภาษีเสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้ประเทศมีฐานรายได้ที่มั่นคงสำหรับอนาคต
2. การใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
การนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการตรวจสอบและจัดเก็บภาษีเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญ ปลัดกระทรวงการคลังได้ยกตัวอย่างว่า กรมสรรพากรมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีประมาณ 2,000 คน แต่ต้องดูแลผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดากว่า 11 ล้านคน และนิติบุคคลอีกกว่า 600,000-700,000 ราย
"เราควรจะต้องอัปเกรดการทำงานโดยให้เจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาเทรน AI และให้ AI ช่วยตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีของคนทั้งหมด ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีจะสูงขึ้นมาก โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนผู้ตรวจสอบภาษี" นายลวรณชี้แจง
3. ระบบ Negative Income Tax เพื่อสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ
ด้วยแนวคิด Negative Income Tax ที่อยู่บนพื้นฐานของ Data Lake กระทรวงการคลังคาดว่าจะช่วยจัดระบบสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เงินช่วยเหลือจะถูกจัดสรรตรงไปยังผู้ที่มีความจำเป็น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
ระบบนี้จะช่วยให้การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการของประเทศมีความยั่งยืนมากขึ้น ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณในระยะยาว
4. ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
กระทรวงการคลังตั้งเป้าผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับ 5% ซึ่งเป็นอัตราที่จะรองรับการจ้างงานและสร้างรายได้ภาษีที่เพียงพอต่อการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำและการยกระดับภาคเกษตร จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในระยะยาว
"เราเป็นประเทศเกษตรกรรม หนีไปไม่พ้น ไม่มีทางด่วนไปเป็นอุตสาหกรรมเต็มตัว ไม่มีทาง ยังไงก็ต้องอยู่กับเกษตร แต่เราต้องอัปเกรดภาคเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้น" นายลวรณกล่าว พร้อมเสริมว่ากระทรวงการคลังสนับสนุนการลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรเป็นประจำ
5. จัดทำงบการคลังระยะปานกลาง
กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนงบการคลังระยะปานกลาง เพื่อวางกรอบการบริหารงบประมาณในอนาคต โดยมุ่งเน้นการรัดเข็มขัดและควบคุมไม่ให้รายจ่ายเติบโตเร็วเกินไป
แผนดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีกรอบการดำเนินนโยบายการคลังที่ชัดเจน ทำให้การบริหารงบประมาณมีวินัยและความยั่งยืนในระยะยาว
กระทรวงการคลังตระหนักดีว่า การสร้างความเข้าใจกับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายทางการคลัง โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องมีการปรับขึ้นภาษีในอนาคต
"ถ้าวันที่เราต้องขึ้นภาษี สิ่งที่ต้องอธิบายกับประชาชนคือ เรารัดเข็มขัดแล้ว รายจ่ายที่ไม่จำเป็นฟุ่มเฟือยตัดไปแล้ว เราเพิ่มประสิทธิภาพทุกอย่างหมดแล้ว การจ่ายเงินภาษีไม่มีการรั่วไหล ทุกอย่างโปร่งใสที่สุด ตรวจสอบได้ และสิ่งที่เขาจะได้กลับคืนไป เช่น สวัสดิการของคนแก่หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะได้อะไร ต้องอธิบาย 4 เรื่องนี้ไปพร้อมกัน คนจะยอมรับว่า การขึ้นภาษีมันจำเป็น" นายลวรณอธิบาย