TDRI แนะ 3 ข้อ ไทยปรับตัวรับมือภาษีทรัมป์ ป่วนการค้าโลก

01 พ.ค. 2568 | 10:17 น.
อัปเดตล่าสุด :01 พ.ค. 2568 | 12:27 น.

TDRI มองนโยบายทรัมป์เขย่าเศรษฐกิจโลก การค้าไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิม ซัพพลายเชนแบ่งโลก 4 ขั้ว พร้อมแนะ 3 ข้อรับมือ สร้างโอกาสให้ประเทศไทย

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สถาบันวิชัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ในหัวข้อ Trade war "เปลี่ยนวิกฤตโลก เป็นโอกาสไทย ว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้น มาจากจุดเรื่มต้นที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการ "Make America Great Again"

ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง สิ่งแรกที่ตั้งจัดการก่อนเลยคือไม่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเสียเปรียบโดยเฉพาะในเรื่องของการค้า ฉะนั้นประเทศไหนที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จะถือว่าไม่เท่าเทียมทันที จึงเกิดการขึ้นภาษีเพื่อคืนดุลการค้าให้กลับคืนมา

แต่ในอีกนัยหนึ่งคือ เป็นการหารายได้เข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น และการตั้งกำแพงสินค้านำเข้ากับต่างประเทศเป็นการหาเงินที่ง่ายที่สุด และทรัมป์มีความเชื่อที่ว่าเมื่อภาษีสูงขึ้นผู้ประกอบการจะสู่กับต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหวท้ายที่สุดก็จะย้ายฐานการผลิตมาตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ทำให้เกิดการจ้างงาน การใช้ซัพพลายในสหรัฐฯ มากขึ้น

"ไม่ว่าจะพรรคเดโมแครต หรือพรรครีพับลิกัน ก็มีความคิดต่อการค้าไปในทางเดียวกันนั้นคือ มองว่าจีนเป็นศํตรูหมายเลข 1 ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การเมือง และการทหาร ดังนั้นจึงมีธงอยู่แล้วที่จะกัดกันจีนออกจากสหรัฐฯ และดูเหมือนจะพยายามตัดช่องทางการแข่งขันกับจีนที่ลดลง"

ในแต่ละปีสหรัฐฯ มีมูลค่าการนำเข้ามากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ หากเก็บภาษีจากต่างประเทศในระดับที่เท่าเทียมกัน 10% ก็จะมีรายได้เพิ่มเข้ามาราว 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากกว่าเมื่อเทียบกับการตัดงบค่าใช้จ่ายในการบริหารประเทศ ที่แม้รัดเข็มขัดแน่นแค่ไหน ก็หาไม่ได้เพียง 7 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น

ปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อสินค้านำเข้าต้องเสียภาษีมากขึ้น ราคาของในประเทศก็แพงขึ้น เงินเฟ้อขยายตัวแน่ๆ การค้าขายต่างๆ ก็เป็นไปได้ยากมากขึ้น ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดไม่เป็นแต่เป็นปัญหาการค้าระหว่างประเทศ แต่กลายเป็นปัญหาการค้าและเศรษฐกิจระดับโลกไปแล้ว

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คือโลกจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า De Globalization ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นระเบียบโลกใหม่ (A new world order) จากนโยบายของทรัมป์ซึ่งโลกที่เปลี่ยนไปเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของซัพพลายเชน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในรอบ 40-50 ปี  โดยการรวมกลุ่มใหม่ทางเศรษฐกิจอาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มเศรษฐกิจได้แก่   

  1. สหรัฐฯ ที่จะแยกกลุ่มออกไปจากการที่ตั้งกำแพงภาษีประเทศอื่นๆ การดึงการลงทุนต่างๆ จะน้อยลง
  2. จีนและพันธมิตรของจีน เช่น อิหร่าน รัสเซีย แอฟริกา และประเทศในอาเซียน
  3. กลุ่มยุโรป และกลุ่มพันธมิตรของยุโรป เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอเมริกากลาง
  4. กลุ่มประเทศเป็นกลาง ที่จะสามารถ เทรดและค้าขายกับทุกกลุ่มได้เช่น อินเดีย ไทย และสิงคโปร์

แนวโน้มการแยก 4 กลุ่มการค้าที่เป็นผลจากนโยบายการค้าของทรัมป์ นอกจากจะมีการแยกซัพพลายเชนการผลิตยังทำให้เกิดการแยกธุรกรรมทางการเงินออกจากกัน สกุลเงินของจีน ยุโรป และสกุลเงินอื่นๆ จะมีบทบาทมากขึ้น เงินสกุลดอลลาร์จะลดความสำคัญลง มีการใช้เงินสกุลอื่นๆ มากขึ้น

ส่งผลให้นักธุรกิจถือเงินหลายสกุล ทำให้การทำธุรกิจจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น  และต้องมีการให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน รวมทั้งมีการออมเงินโดยการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้นด้วย

กลับมาดูที่ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้า รวมกันคิดเป็นประมาณ 120% ของมูลค่าเศรษฐกิจไท ฉะนั้นอะไรก็ตามที่กระทบการนำเข้าหรือส่งออกก็จะส่งผลกระทบต่อรายรับของประเทศไทยทั้งนั้น และประเทศคู่ค้าหลักที่ไทยส่งออกมากที่สุดคือ สหรัฐฯ รองลงมา คือ จีน

สงครามการค้าจะทำให้ดีมานด์โลกเติบโตช้าลง ซึ่งตามการประมาณการของ IMF ได้มีการ downgrade การขยายตัวเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจต่างๆ ในโลก ลงเหลือแค่ 2.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ราว 3.3% สะท้อนให้เห็นว่าจากนี้ไปการค้าการส่งออกต้องเผชิญกับความท้าทาย

"ทรัปม์ปักใจว่าจะต้องไม่มีขาดทุนกับประเทศใดเลย ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดนี้คงไม่มีกับทุกประเทศ และสิ่งที่เห็นตามมาคือของราคาแพงขึ้น ผู้ประกอบการหากต้องปรับตัว ปรับสินค้าตัวเองใหม่ การผลิตในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ก็จะทำให้ต้นทุนบริษัทก็สูงขึ้น หลายธุรกิจต้องปรับตัว ซัพพลายก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นมีโอกาสที่จะเห็นการย้ายฐานผลิตกระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ มีเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากนี้"

และนี้จะเป็นโอกาสให้กับประเทศไทยเรา แต่ทำอย่างไรจะทำให้การลงทุนต่างชาติเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือนโยบายภาครัฐต้องให้การสนับสนุนการลงทุน สร้างความเชื่อมั่น เพราะการย้ายฐานการผลิตไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยและต้องต้องใช้เวลา 50 ปี ถึงจะมีโอกาสนี้อีกครั้ง

นอกจากนี้ ภาครัฐอาจต้องเร่งเครื่องในการเจรจาทำการค้ากับประเทศอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แน่ๆ และทุกอย่างจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ผู้ประกอบการหลายประเทศต้องปรับตัว ภาครัฐก็ต้องสนับสนุนภาคเอกชนในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน เพิ่มโอกาสทางการค้าให้มากขึ้น

อุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และชิ้นส่วนมือถือ เป็นต้น ที่พึ่งพาตลาดหสรัฐฯ เป็นหลัก ดังนั้นแล้วต้องกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ๆ  ให้มากขึ้น

3 เรื่องที่มองว่าไทยต้องรีบลงมือทำ
1. การปรับการค้าและการลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยง จะพึ่งพาเพียงตลาดสหรัฐฯ เหมือนเดิมไม่ได้ รัฐบาลต้องช่วยในการร่วมมือกับประเทศอื่นๆ FTA อัพเกรดการค้า รวมภึงภาครัฐต้องเปิดตลาดใหม่ๆ เพื่อนำทางให้เอกชนไทย โดยมองว่าตลาดตะวันออกกลาง และแอฟริกา ก็มีความน่าสนใจ

"ในการลงทุนนั้นไม่ได้มาง่ายๆ 50 ปีมาครั้ง การโยกย้ายซัพพลายเชนครั้งใหญ่ เป็นโอาสของไทย ต้องดึงดูดให้ได้มากที่สุด ไทยต้องปรับตัว โดยเฉพาะเรื่องทักษะแรงงาน แม้ว่าปัจจุบันโรงงานจะใช้ระบบอัตโนมัติแล้ว แต่แรงงานคนยังจำเป็น ดังนั้นภาครัฐฯ ต้องส่งเสริมด้านทักษะให้แรงงาน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินทุน น้อกจากนี้ ในเรื่องพลังงานสะอาดก็สำคัญ ต้องมีเพียงพอ ราคาไม่แพง"

2. การเงิน มองว่ายังไงในช่วงต่อไปนี้ ดีมานด์การค้าโลกต้องโตช้าลงแน่ ราคาของไม่ปรับขึ้นมาก ดอกเบี้ยโลกเป็นขาลง เงินเฟ้อลง ขณะที่ประเทศไทยเอง กนง. ลดดอกเบี้ยอีก ซึ่งในปี 68 ลดลงถึง 2 ครั้ง แล้ว และคิดว่าน่าจะลงอีก 2 ครั้ง จบปีเหลือ 1.25% มีความเป็นไปได้ เพราะช่วงมีวิกฤตหนัก เคยลงไปถึง 0.25% มาแล้ว เพื่อช่วยประชาชนหนี้ครัวเรือนต้องจัดการ โดยการแก้ไขมี 2 ด้าน 1. แก้หนี้ 2. การเพิ่มรายได้ให้ประชาชน

3. การคลัง ในสภาวะที่โลกไม่แน่นอนไม่รู้ว่าเครื่องยนต์ไหนจะดับลงกลางทางก็ได้ แต่เครื่องยนต์รัฐต้องเดินต่อ ต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องคิดให้ดีว่าเงินที่มีอยู่ในมือจะเอาไปทำอะไรต่อไป Moody's ปรับมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทยจาก จากเดิม "มีเสถียรภาพ" (Stable) เป็น "เชิงลบ" (Negative) สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยจะอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

"การแจกเงินอาจไม่ใช่คำตอบ เอาเงินมาช่วยในการลงทุน การปรับตัวโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กจะดีกว่าหรือไม่ การแลกเปลี่ยน การค้ากับจีน เอาสินค้าจีนมาต่อยอดดีกว่าหรือไม่ ทำอย่างไรจะใช้เงินให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เรื่องนี้สำคัญ เพราะการลดเรตติ้งมันสะเทือนไทยมาก ทำให้การกู้เงินในอนาคตดอกเบี้ยก็จะแพงขึ้น มันเเป็นต้นทุน ต้องให้ความสำคัฐในเรื่องการประคับประคอบเศรษฐกิจไทย ให้สู้กับความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกได้ด้วย"