ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ต.ค. 67 แข็งค่าที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์

02 ต.ค. 2567 | 00:58 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2567 | 02:07 น.

ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ วันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2 ต.ค. 2567ที่ระดับ  32.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  32.59 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังพอมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด

รวมถึงบรรยากาศของตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวัน จนถึงระดับ 1-2 สัปดาห์ได้

 

 

 โดยต้องจับตาท่าทีของทางการอิสราเอลในการตอบโต้ การโจมตีรอบล่าสุดจากทางอิหร่าน เพราะหากอิสราเอลตอบโต้กลับในลักษณะที่ไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้า ก็อาจสะท้อนว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะไม่ได้ทวีความรุนแรงและลุกลาม บานปลายมากขึ้น

อนึ่ง ในระยะสั้น ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะสั้น ซึ่งต้องระวังความเสี่ยงของการเกิด Short Squeeze  หลังในช่วงที่ผ่านมาผู้เล่นในตลาดมีการสะสมสถานะ Net Short น้ำมันดิบไว้พอสมควร ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงระยะสั้นก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้

จากโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้น รวมถึงมุมมองของเราที่คงเชื่อว่า ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทยอยคลี่คลายลงได้

ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจผ่านจุดแข็งค่าสุดไปแล้วในระยะสั้น (Call Bottom USDTHB แถว 32.00 บาทต่อดอลลาร์) แต่เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะสามารถทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้จริง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.80 บาท ต่อดอลลาร์ และโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน ซึ่งอาจจะต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ของสหรัฐฯ  ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง

 

เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์นั้น ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued มากขึ้น (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +1.0 หากเงินบาทแข็งค่าหลุด 32.00 บาทต่อดอลลาร์)

ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 32.50-32.65 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด

รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ก็มีส่วนหนุนให้

ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา

แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด ทว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น

โดยผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia -3.7%, Apple -2.9% อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น และช่วยให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น อาทิ Exxon Mobil +2.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.93%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อ -0.38% หลังบรรยากาศในตลาดการเงินถูกกดดันจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเดินหน้าขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม China Recovery อย่าง LVMH -3.6%, BMW -1.8% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +2.2% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ  

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวระดับ 3.73% โดยแม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทว่า บรรยากาศของตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ยาก

ทั้งนี้ เรามองว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจมีผลกระทบต่อตลาดการเงินเพียงในระยะสั้น ตราบใดที่ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้ลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่ไม่ใช่เพียงการตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธหรือโดรน โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดการเงิน

โดยเฉพาะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม เรามองว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และควรเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.0-101.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ก็สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความต้องการถือทองคำในช่วงตลาดกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดย ADP ในเดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB 

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.51-32.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยแม้เงินบาทจะขยับแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดในวันก่อนหน้า แต่กรอบการแข็งค่าอาจเป็นไปอย่างจำกัดตาม Sentiment ของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากการปรับมุมมองเรื่องขนาดการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และแรงซื้อในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจากกรณีระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล

นอกจากนี้ การย่อตัวลงกลับมาบางส่วนของราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเช้าวันนี้ ก็น่าจะเป็นปัจจัยลบที่จำกัดกรอบการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.จาก ADP ของสหรัฐฯ