ธปท.ย้ำติดตามสถานการณ์สถาบันการเงินในสหรัฐ-ยุโรปใกล้ชิด

20 มี.ค. 2566 | 10:15 น.

แบงก์ชาติยันผลกระทบของธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปต่อระบบการเงินไทยจำกัดเหตุทั้งธุรกรรมภาคธนาคาร -กองทุนประเภทต่าง ๆอยู่ในระดับต่ำ และเกณฑ์กำกับแบงก์ไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เข้มงวด ย้ำติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หรือแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า จากกรณี Regional Bank ของสหรัฐอเมริกา ที่ประสบปัญหาต้องปิดกิจการ โดยทางการได้ออกมารับประกันการจ่ายคืนเงินฝากเต็มจำนวน และมีกลไกปล่อยสภาพคล่องให้ระบบสถาบันการเงิน

ธปท.ย้ำติดตามสถานการณ์สถาบันการเงินในสหรัฐ-ยุโรปใกล้ชิด

นอกจากนี้ ยังมีกรณีธนาคาร Credit Suisse (CS) ที่เกิดปัญหาด้วยสาเหตุที่ต่างกัน โดย CS มีปัญหาสะสมมาก่อนหน้า และมีผลขาดทุนสูงต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อมีข่าวว่าผู้ถือหุ้นรายสำคัญมีข้อจำกัดในการเพิ่มทุนให้ CS จึงกระทบความเชื่อมั่นของตลาด จนธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์และผู้กำกับดูแล ต้องให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง และล่าสุด ภาครัฐได้จัดการให้ธนาคาร UBS เข้าซื้อหุ้นของ CS เพื่อรวมกิจการและระงับไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามแล้ว

 

ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวใกล้ชิด และประเมินว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ข้างต้นต่อระบบการเงินไทยมีจำกัด จากธุรกรรมของภาคธนาคารและกองทุนประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ไทย( ธพ.) ไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เข้มงวด โดยบังคับใช้เกณฑ์ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่องกับธนาคารทุกแห่ง ขณะที่บางประเทศ เช่่น สหรัฐฯ จะเน้นการกำกับดูแลที่เข้มงวดกับธนาคารพาณิชย์ ขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นหลัก ขณะที่สำหรับธนาคารพาณิชย์ ขนาดกลางและเล็ก การบังคับใช้เกณฑ์บางอย่าง เช่น เกณฑ์สภาพคล่อง จะไม่เข้มงวดเท่า

 

ในปัจจุบัน ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความมั่นคง ข้อมูล ณ สิ้นปี 2565 ระบบธนาคารพาณิชย์ ไทย มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดที่ 8.5% โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier 1: CET1) นอกจากนี้ สินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage ratio : LCR) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 197.3%

และมีหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ในระดับต่ำที่ 2.73% ขณะที่เงินสำรองต่อหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Coverage ratio) สูงถึง 171.9% ซึ่งถือเป็นสถานะที่ดีกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2551 นอกจากนี้ ยังมีฐานลูกค้าทั้งในฝั่งสินเชื่อและเงินรับฝากที่กระจายตัวไปในกลุ่มรายย่อย ภาคธุรกิจ และ SMEs

 

สำหรับตลาดการเงินโลก ยังเห็นความกังวลของนักลงทุนอยู่บ้าง สะท้อนจากราคาหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังผันผวนสูง และราคาในการประกันความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดการเงินไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยตลาดโลกข้างต้นจำกัด จากความเชื่อมโยงที่ต่ำต่อกลุ่มธนาคารที่ประสบปัญหา โดย ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป