เงินบาทวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 37.98 บาทต่อดอลลาร์

11 ต.ค. 2565 | 01:00 น.

เงินบาทอาจอ่อนค่าใกล้ระดับ38.50 หากทะบุแนวต้าน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ จับตาระยะสั้นอาจพลิกกลับ “แข็งค่า”จากปัจจัยกดดัน “ดอลลาร์แข็งค่า-ฟันด์โฟลว์ที่ยังคงขายสุทธิสินทรัพย์ไทย”

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.98 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.92 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของเงินบาทในวันก่อนหน้า ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทำให้โมเมนตัมเงินบาทกลับมาอยู่ในทิศทางอ่อนค่ามากขึ้นอีกครั้ง

 

และมีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าวก็อาจเห็นเงินบาทกลับไปอ่อนค่าใกล้ระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้งได้ไม่ยาก หากตลาดยังปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น

 

นอกจากนี้ ปัจจัยที่กลับมากดดันเงินบาทนอกเหนือจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ คือ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงเป็นฝั่งขายสุทธิสินทรัพย์ไทย ทำให้โอกาสที่เงินบาทจะกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงระยะสั้นนี้เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร ทว่า แนวโน้มการย่อตัวลงของราคาทองคำ หากไม่ปรับตัวลดลงรุนแรงต่อและ

 

หลุดโซนแนวรับ ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำอาจย่อตัวลงชั่วคราว ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยมาซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยบ้าง เพื่อรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ทำให้หากราคาทองคำกลับมารีบาวด์ขึ้นชัดเจนก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ (Correlation ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำสูงถึง 78%)

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.85-38.15 บาท/ดอลลาร์

 

ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางปัจจัยกดดัน อาทิ ความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่เพิ่มสูงขึ้นก่อนตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

รวมถึงสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และมาตรการจำกัดการเติบโตอุตสาหกรรม Semiconductor ของจีนโดยสหรัฐฯ ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างเดินหน้าเทขายสินทรัพย์เสี่ยง กดดันให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.75%

 

ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ก็ปิดตลาด -1.04% นำโดยแรงขายหุ้นกลุ่ม Semiconductor อาทิ Qualocomm -5.2%, Nvidia -3.4%, Intel -2.0% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil -2.2%, Chevron -1.8%) ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยซึ่งอาจกระทบความต้องการใช้พลังงานได้

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -0.40% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้น หลังจากที่รัสเซียได้เปิดโจมตียูเครนเป็นวงกว้างด้วยขีปนาวุธอีกครั้ง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงท่าทีระมัดระวังตัว ทั้งนี้ ความกังวลปัญหาความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่ม Semiconductor ของยุโรป อาทิ ASML -3.3%

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 113 จุด ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินที่ยังหนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงแรงหนุนจากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่าการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ในจังหวะที่ตลาดกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ใกล้โซนแนวรับแถว 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่าการย่อตัวลงของราคาทองคำดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ โดย IMF หรือ World Economic Outlook (WEO) ซึ่งคาดว่า IMF อาจมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจลงมากขึ้น และอาจชี้ว่าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

 

จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางและแรงกดดันต่อค่าครองชีพในภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งมุมมองเชิงลบดังกล่าวของ IMF อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินได้ (Recession fears) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯและโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 38.00 ไปเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 38.07-38.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.05 น.) เทียบกับระดับปิดวานนี้ที่ 37.91  บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนก่อนการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ

 

โดยแม้อัตราเงินเฟ้อ (CPI Inflation) ถูกคาดหมายว่า อาจจะชะลอลงเล็กน้อย แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงมีโอกาสขยับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหนุนโอกาสการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุม FOMC เดือนพ.ย. นี้ นอกจากนี้ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่อ่อนแอของเศรษฐกิจโลก ยังกดดันสกุลเงินเอเชียในภาพรวมด้วยเช่นกัน

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 37.85-38.10/38.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค มุมมองต่อทิศทางนโยบายการเงินของเจ้าหน้าที่เฟด แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับทบทวนใหม่โดย IMFและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองของผู้บริโภคของสหรัฐฯ