“ธนาคารอาคารสงเคราะห์” หรือธอส. ภายใต้การนำของแม่ทัพ “กมลภพ วีระพละ” ระยะเวลากว่า 2 ปี ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรเป็นอย่างมาก ทั้งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและเทคโนโลยีของธนาคารอย่างเป็นรูปธรรม เตรียมความพร้อมสู่การเป็นองค์กรเพื่อความยั่งยืน (ESG) และภารกิจหลักการช่วยเหลือคนไทยให้มีบ้าน
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ผลดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในความสำเร็จสำคัญ คือ การเปลี่ยนระบบ Core Banking ซึ่งถือเป็น “กระดูกสันหลัง” ของธนาคาร การย้ายระบบที่ปกติใช้เวลาพัฒนาหลายปี ต้องดำเนินการในช่วงเวลาจำกัดเพียงปีเศษ เพราะระบบเดิมกำลังหมดระยะเวลาการบำรุงรักษา ส่งผลให้ต้องเร่งจัดซื้อจัดจ้างและเปลี่ยนระบบภายในกรอบเวลาที่เข้มข้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ช่วยยกระดับความเร็วและเสถียรภาพของระบบไอทีของธนาคารอย่างชัดเจน
“การเปลี่ยนระบบ Core Banking ระยะเวลาการประมวลผลสิ้นวัน/สิ้นเดือนลดลงอย่างมาก ระบบใหม่ทำงานเร็วขึ้นประมาณ 2.5 เท่า โดยการปิดงวดที่เคยใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง ลดลงเหลือประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนหลายล้านรายการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้การดำเนินงานของธนาคารสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างน้อยอีก 5 ปี นับเป็นฐานสำคัญที่ลดความเสี่ยงด้านเทคนิคและค่าใช้จ่ายในระยะยาว”
ในด้านโครงสร้างองค์กร ธอส. อยู่ระหว่างปรับรูปแบบภายในเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ ESG โดยโครงสร้างใหม่ที่คณะกรรมการธนาคารอนุมัติแล้ว จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 โครงสร้างนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับประเด็นความยั่งยืนทั้งมิติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในอดีตยังไม่มีหน่วยงานภายในรองรับโดยตรง นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มหน่วยงานที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรมและการสร้าง Ecosystem ผ่านการจับมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
นายกลมภพ ยังฉายภาพโมเดลเชิงนวัตกรรมที่ ธอส. ขับเคลื่อนคือ การขยายโครงการ “โรงเรียนการเงิน” ร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อแก้ปัญหาจุดคอขวดของตลาดที่ผู้จองบ้านจำนวนมากถูกปฏิเสธสินเชื่อ (rejection rate สูงถึงกว่า 70%)
ภายใต้โครงการนี้ ลูกค้าที่จองบ้านจะถูกส่งเข้าโรงเรียนการเงินทันทีและหากปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของธนาคารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน ธอส. จะการันตีการให้สินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันวงเงินภายใต้โครงการอยู่ที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยผ่อนชำระต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 0.99% ต่อปี ทั้งนี้ ธอส. กำลังพิจารณาออกโปรแกรมวงเงินที่สูงขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการในเขตเมือง
“แนวคิดสร้าง Ecosystem นี้ช่วยลดปัญหาที่เป็นสาเหตุให้บ้านขายไม่ได้ นั่นคือ “ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน” และยังเปิดช่องให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ต้นทุนต่ำมากขึ้น ซึ่งมีนัยสำคัญต่อการส่งเสริมภาคอสังหาริมทรัพย์และการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก”
อีกจุดที่ ธอส. ให้ความสำคัญคือการขับเคลื่อนสินเชื่อเพื่อกลุ่มอาชีพอิสระ ซึ่งมักถูกมองข้ามโดยธนาคารพาณิชย์ทั่วไป โดยธนาคารเพิ่มสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มนี้ขึ้นประมาณ 2% เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งตลาดของธนาคาร ซึ่งเป็นการขยายการเข้าถึงสินเชื่อไปยังอาชีพที่มีลักษณะสภาพคล่องและรายได้ไม่แน่นอน เช่น ช่างตัดผม ช่างสัก และกลุ่มทำงานในวงการบันเทิง นอกจากนี้ ธอส. ยังยอมรับการกู้ร่วมของคู่รักเพศเดียวกันที่ประกอบธุรกิจร่วมกัน สะท้อนแนวทางการเคารพความเท่าเทียมและการเปิดโอกาสทางการเงินมากขึ้น
“การเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงเทคนิค โครงสร้าง และโมเดลความร่วมมือ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อส่งมอบองค์กรที่ดีให้กับผู้บริหารชุดต่อไปเท่านั้น แต่เพื่อให้พนักงานมีเครื่องมือและระบบที่เอื้อต่อการทำงาน และที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาเรื้อรังภายในวาระปัจจุบัน เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินภารกิจหลักคือการดูแลให้คนไทยมีบ้านได้อย่างยั่งยืน”
ด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แนวทางของ ธอส. ในการลดอุปสรรคการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยและการผลักดันอัตราดอกเบี้ยที่เป็นประโยชน์ต่อผู้กู้อาจช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง สุขภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี การขยายวงเงินและการรับความเสี่ยงในกลุ่มลูกค้าที่มีความไม่แน่นอนด้านรายได้ จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงสินเชื่อและมาตรการติดตามอย่างเข้มแข็งเพื่อรักษาเสถียรภาพของพอร์ตสินเชื่อระยะยาว
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากไว้กับองค์กรก่อนครบวาระ 21 ธ.ค.นี้ นายกมลภพกล่าวทิ้งท้ายว่า การทำงานตลอดสองปีมุ่งเน้นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับธนาคาร ทั้งในแง่ระบบ เทคโนโลยี โครงสร้างองค์กร และแนวทางการร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อให้ ธอส. สามารถสานต่อภารกิจสำคัญในการช่วยให้คนไทยมีบ้านได้อย่างยั่งยืน