รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ถึงความคืบหน้าธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan)หรือ สินเชื่อพีโลนว่า สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติแล้ว 9 รายคือ
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท.กล่าวว่า ในจำนวนผู้ได้รับอนุมัติทั้ง 9 รายนั้นมีผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจแล้ว 5 ราย โดยกระจายสินเชื่อสู่ลูกหนี้รายเล็ก ยอดสินเชื่อเฉลี่ย 5,000 บาทต่อราย และมียอดคงค้างสินเชื่อ ณเดือนกุมภาพันธ์ที่ 4,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นไม่สูงมากจากเดือนมกราคม ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการอีก 3 รายที่ยังไม่เปิดดำเนินการ และอีก 1 รายอยู่ระหว่างพัฒนาโมเดลธุรกิจ จึงยังไม่ได้รับใบอนุญาต
ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการอีก 3 รายที่ยังไม่เปิดดำเนินการ และอีก 1 รายอยู่ระหว่างพัฒนาโมเดลธุรกิจ จึงยังไม่ได้รับใบอนุญาต
ดร.ชาลี อัศวธีระธรรม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Digital Banking ธนาคาร ไทยพาณิชย์เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มียอดการขอสินเชื่อดิจิทัลเข้ามาเกือบ 2 ล้านคน เป็นยอดสินเชื่อทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาท โดยภายในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าว่า จะมียอดสินเชื่อดิจิทัลทั้งหมด 22,000 ล้านบาท
ไตรมาสที่เหลือ ธนาคารมีแผนจะนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ๆ อีกหลายผลิตภัณฑ์ เพื่อมุ่งแก้ปัญหา Pain point ให้กับลูกค้าที่ไม่มีรายได้ประจำหรือประกอบอาชีพอิสระให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ได้มากยิ่งขึ้นและคาดว่า จะได้รับการตอบรับอย่างดี
ทั้งนี้เป้าหมายของ SCB DBANK คือ พยายามเพิ่ม financial inclusion ให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้ารายวัน ที่ไม่มีเอกสารหลักฐานทางการเงิน ซึ่งมีประมาณ 10 ล้านคน ธนาคารต้องการช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้แก่ลูกค้าเหล่านี้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเริ่มสร้างเครดิตทางการเงินกับธนาคารได้ด้วยตนเอง
“ธนาคารมีการดูแลและเฝ้าระวังการผิดนัดชำระของลูกค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการปรับปรุงโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้สามารถติดตามและเสนอโปรแกรมช่วยเหลือลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19” ดร.ชาลีกล่าว
นางสาวถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัดกล่าวว่า 4 เดือนแรกของปีนี้ มันนิกซ์ปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท โดยทั้งปีคาดว่า จะปล่อยสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท จากความต้องการสินเชื่อในช่วงที่เหลือจะสูงขึ้นมากกว่าช่วงปีก่อนอย่างชัดเจน จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มผ่อนคลายลง ทำให้เกิดความต้องการหาเงินทุนหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นและผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยาวนานและขยายวงกว้างมากขึ้น บริษัทได้พิจารณาปรับนโยบายการอนุมัติสินเชื่อใหม่ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกของปี 2565 เป็นต้นมา โดยมุ่งหวังจะควบคุมคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อและติดตามคุณภาพของลูกหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกต่างๆ
ด้านคุณภาพสินเชื่อ ปัจจุบันยังควบคุมอัตราหนี้เสียในระดับตัวเลขหลักเดียวได้ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ประกอบกับผลกระทบตามวัฏจักรที่ในช่วง เม.ย-พ.ค ของทุกปี มีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าบ้าง โดยบริษัทได้มีการติดตามหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อควบคุมให้อัตราการผิดนัดชำระให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันมันนิกซ์ได้ออกแคมเปญ “คนทำมาหากินฟินติดปีก” โดยจับมือ แพลตฟอร์มชั้นนำของประเทศ เช่น ฟู้ดแพนด้า (foodpanda) และบีนีท (BeNeat) ต่อเนื่องมาจากเดือนเมษายน โดยตั้งเป้าหมายช่วยสร้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้คนทำมาหากินทั่วไทย ลูกค้าของฟินนิกซ์สามารถสมัครเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ไรเดอร์ หรือแม่บ้าน ผ่านทางแอปฟินนิกซ์ พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งการฝึกอบรม สวัสดิการ และโบนัสพิเศษที่มีในแอปฟินนิกซ์ที่เดียว ทำให้ทำมาหากินได้คล่อง ปลดล็อกเรื่องเงินให้ไม่สะดุด เราคาดว่าจะมีคนทำมาหากินร่วมแคมเปญไม่น้อยกว่า 5,000 คนทั่วประเทศ
“มันนิกซ์มองว่า การสร้างงาน เสริมรายได้ให้ลูกค้าจะช่วยเพิ่มแข็งแรงด้านการเงินให้สูงขึ้น และที่สำคัญคือทำให้ลูกค้าสามารถมีกระแสเงินสดเข้ามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในครอบครัว รวมทั้งสร้างเครดิตที่ดีขึ้นจากรายได้ที่มีเข้ามาเพิ่มด้วย” นางสาวถิรนันท์ กล่าว
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,781 วันที่ 8 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2565