อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดตลาด "แข็งค่า"
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ สภาพคล่องอยู่ในระดับต่ำ
อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ 30.21 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ 30.25 บาทต่อดอลลาร์ กรอบเงินบาทวันนี้ 30.10-30.30 บาทต่อดอลลาร์
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS CIO)ระบุว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบด้วยสภาพคล่องที่อยู่ในดับต่ำ นักลงทุนส่วนใหญ่รอฟังทิศทางของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนช่วงปลายปีและตามดูกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยเราเชื่อว่าจุดเปลี่ยนจะอยู่ที่ตลาดหุ้นโลกซึ่งมีโอกาสผันผวนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของเดือนธันวาคม
สำหรับตลาดการเงินซื้อขายสับเปลี่ยนกลุ่มในช่วงคืนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐขยับขึ้น 0.2% บนแรงหนุนของหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามภาพราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น 1.4% ขณะที่ ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปปรับตัวลง 0.1% จากการขายทำกำไรหุ้นใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงเดือนก่อน
ส่วนหนึ่งมาจากภาพเศรษฐกิจที่ยังสับสน ล่าสุดตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ในสหรัฐปรับตัวขึ้นเพียง 3.07 แสนตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากบริษัทต่างๆ กังวลกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในปีหน้า อย่างไรก็ดี ส่วนมากยังเชื่อว่าทางการสหรัฐจะต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าแน่นอน
ด้านตลาดเงิน ก็ถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวนโยบายการคลังที่ระดับใกล้เคียง 1 ล้านล้านดอลลาร์ กดดันให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า 0.1% และบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุสิบปีปรับตัวขึ้น 2.5bps มาที่ระดับ 0.95% สูงที่สุดในรอบสัปดาห์ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะถือสกุลเงินความเสี่ยงสูง เช่นดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และลดสกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนญี่ปุ่น (JPY) หรือฟรังก์สวิส (CHF) สะท้อนภาพตลาดเงินที่เปิดรับความเสี่ยง
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเช้านี้ (3 ธ.ค.) อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 30.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ปิดตลาดวานนี้ที่ 30.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ) โดยแม้เงินบาทจะทรงตัวในกรอบแคบๆ แต่ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นตามสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่เพิ่มน้อยกว่าที่ตลาดคาด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 30.00-30.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ตลาดรอติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์ ปัจจัยทางการเมือง และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ส่วนปัจจัยสำคัญในต่างประเทศจะอยู่ที่ดัชนี PMI/ISM ภาคบริการเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์