ในสถานการณ์ปัจจุบันที่บริษัทจดทะเบียน(บจ.) หลายแห่งมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ หนึ่งในนั้นคือ “การลดทุน” ซึ่งการลดทุนไม่ได้หมายถึง ล้างผลขาดทุนสะสมเสมอไป แต่ยังหมายถึงบริษัทอาจมีเงินทุนมากเกินไป แต่ไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ จึงต้องลดจำนวนทุนจดทะเบียนลง เพื่อคืนทุนให้ผู้ถือหุ้น ในกรณีที่มีมากเกินไป
ทั้งนี้ในปี 2562 มีบจ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ที่ลดทุนจดทะเบียน 8 แห่ง มูลค่ารวม 3,297.11 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 มีจำนวน 3 แห่ง มูลค่ารวม 250.88 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การลดทุนและ การซื้อหุ้นคืน ของ บจ. เป็นกลไกของตลาดที่ยอมให้ทำได โดยการลดทุนนั้น มีผลดีต่อกำไรต่อหุ้นที่ทำให้เพิ่มขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงในขั้นตอนการซื้อหุ้นคืนที่อาจจะรับซื้อในราคาที่สูงเกินไปในช่วงที่เกิดสถานการณ์ผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนที่เสียไป ขณะเดียวกัน หากหลังจากซื้อคืนแล้วผลการดำเนินงานดี ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นก็ถือว่าเป็นการบริหารสภาพคล่องได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ นักลงทุนต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์หลักของผู้บริหารว่า ต้องการบริหารสภาพคล่องที่มีมากเกินไป หรือต้องการใช้เป็นเครื่องมือเพื่อพยุงราคาหุ้นไม่ให้ลดลงตํ่ามาก เพราะที่ผ่านมามีบางบริษัทที่ต้องการรักษาระดับราคาหุ้นด้วยการลดทุนและซื้อหุ้นคืน แต่เมื่อต้องการใช้เงินก็กลับมาประกาศเพิ่มทุนใหม่ ทั้งนี้ มองว่าการลดทุนหรือซื้อหุ้นคืนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานได้ และการนำหุ้นมาลดทุนจะดีกว่าการนำออกมาขายในราคาที่ตํ่ากว่าราคาซื้อคืน
รายงานข่าวจากตลท.เปิดเผยว่า ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) แจ้งว่า ตามที่ธนาคารได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงินจำนวน 23,932,600 หุ้น คิดเป็น 1% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และได้ครบกำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว ธนาคารได้ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนโดยตัดหุ้นซื้อคืนจำนวน 23,932,600 หุ้น มูลค่าตราไว้หุ้นละ 10 บาท คิดเป็น 1% ของทุนชำระแล้วก่อนลดลง ส่งผลให้ทุนใหม่มีจำนวน 2,369,327,593 หุ้น เป็นมูลค่า 23,693,273,930 บาท
บล.เอเซียพลัส จำกัด ระบุว่า ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนแล้วเสร็จ ทำให้ธนาคารเกิดความคล่องตัวในการบริหารอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ได้หลายช่องทางมากขึ้น หากเกิดกรณีเลวร้าย (Worst case) ผ่านการระดมทุนผ่านการออกหุ้นสามัญใหม่ ทั้งนี้ ประเมินว่าหากทางธนาคารต้องการรักษาระดับอัตราส่วนเงินกองทุน น่าจะเริ่มด้วยการออกตราสารทางการเงินในกลุ่ม Perp bond หรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Tier-2) และใช้วิธีการออกหุ้นสามัญ เป็นลำดับสุดท้าย
ด้านบล.บัวหลวง จำกัด ระบุว่า ธนาคารตัดสินใจลดทุนจดทะเบียนลง 1% เนื่องจากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถขายหุ้นคืนในราคาที่ไม่ขาดทุนภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการลดทุนเป็นหนทางดีที่สุดในการบริหารเงินและกิจการ ต้องรับรู้ผลขาดทุนระหว่างส่วนต่างราคาตลาดที่ 79.75 บาท และราคาทุนการซื้อหุ้นที่หุ้นละ 134 บาท จำนวน 1,300 ล้านบาท ในส่วนผู้ถือหุ้น (ไม่ผ่านกำไรขาดทุน) ทำให้กำไรกิจการไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้ลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โดยการตัดหุ้นที่ซื้อคืน และยังมิได้จำหน่ายทันที จำนวน 87,344,000 หุ้น คิดเป็น 1.69% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ทั้งนี้ ได้ครบกำหนดระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และมีหุ้นที่มิได้จำหน่าย จำนวน 87,344,000 หุ้น
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวงที่ครบกำหนดระยะเวลาที่ต้องจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว บริษัทจะลดทุนที่ชำระแล้วโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและยังมิได้จำหน่าย จำนวน 5,074,581,515 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5,074,581,515 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“เกียรตินาคินภัทร” วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นตัวยาก
การเมืองในประเทศ กดดันหุ้นไทยผันผวน 1,250-1,300 จุด
ศบศ.เร่งทุกมาตรการ เติมสภาพคล่องเอสเอ็มอี
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,612 วันที่ 24 - 26 กันยายน พ.ศ. 2563