ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ ( 5 มิ.ย.)พุ่งขึ้นกว่า 200 จุด หลังรายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐ ในเดือนพฤษภาคมขยายตัวระดับต่ำสุดในรอบกว่า 9 ปี หนุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไม่ช้า หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ออกมาส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,539.57 จุด เพิ่มขึ้น 207.39 จุด หรือ +0.82% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,826.15 จุด เพิ่มขึ้น 22.88 จุด หรือ +0.82% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,575.48 จุด เพิ่มขึ้น 48.36 จุด หรือ +0.64%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายพาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเดิมที่เคยใช้ในช่วงเกิดวิกฤติการณ์ เช่นการกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใกล้ 0% และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE เพื่อจะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประกอบกับการที่ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐในเดือนพฤษภาคมว่าเพิ่มขึ้นเพียง 27,000 ตำแหน่งซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 9 ปี หลังจากทะยานขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานของภาคเอกชนจะพุ่งขึ้น 173,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสะท้อนเศรษฐกิจซบเซาของสหรัฐช่วยหนุนคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงในไม่ช้านี้
ขณะที่ FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้และมีโอกาสมากกว่า 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม
ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ปิดดีดตัวขึ้น 2.3%, 2.1% และ 1.1% ตามลำดับ ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 1.4%