แบงก์ชาติญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 30 ปี ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจ

19 ธ.ค. 2568 | 03:47 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 03:51 น.

ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ 0.75% สูงสุดในรอบ 30 ปี หลังเงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมายต่อเนื่อง สะท้อนการเดินหน้าปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจและแรงสะเทือนต่อตลาดโลก

KEY

POINTS

  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี
  • การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่าเป้าหมาย 2% มาอย่างต่อเนื่อง
  • การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งการหดตัวของ GDP กำลังซื้อที่เปราะบาง และภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
  • แม้จะขึ้นดอกเบี้ย แต่ค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่า ซึ่งเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากการนำเข้า ขณะที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงการเติบโต

19 ธันวาคม 2568 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan: BOJ) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมนโยบายการเงิน นับเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2538 และเป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ สะท้อนทิศทางการเดินหน้าปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติ หลังเงินเฟ้อญี่ปุ่นยืนเหนือกรอบเป้าหมายมาอย่างยาวนาน

การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “policy normalization” ที่ญี่ปุ่นเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2567 หลังยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบซึ่งใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 โดย BOJ ย้ำมาโดยตลอดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้าง “วงจรเชิงบวก” ระหว่างการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างและระดับราคาในระบบเศรษฐกิจ

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับตัวสูงกว่าเป้าหมาย 2% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 44 โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤศจิกายนขยายตัว 2.9% ขณะที่ค่าจ้างที่แท้จริงกลับลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 จากแรงกดดันด้านค่าครองชีพ สะท้อนความเปราะบางของกำลังซื้อภาคครัวเรือน แม้เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงด้านการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่น หลังตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ถูกปรับประมาณการใหม่ พบว่าเศรษฐกิจหดตัว 0.6% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และหดตัวถึง 2.3% ในอัตรารายปี สะท้อนแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น

ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ เพิ่มความเสี่ยงต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐ ในประเทศที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุดในโลกเกือบ 230% ตามข้อมูลกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

ค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่า โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 154–157 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และอ่อนค่ากว่า 2.5% นับตั้งแต่นางซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีจุดยืนผ่อนคลายนโยบายการเงิน เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะพลังงานและอาหาร ปรับตัวสูงขึ้น และเป็นแรงผลักดันเงินเฟ้อเพิ่มเติม

นักวิเคราะห์ประเมินว่า BOJ ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในระยะถัดไป โดยชิเงโตะ นางาอิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นจาก Oxford Economics ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้นสู่ระดับปลายทาง (terminal rate) ที่ราว 1% ภายในกลางปี 2569 ขณะที่ BOJ ประเมินกรอบอัตราดอกเบี้ยสมดุลไว้ที่ 1–2.5% อย่างไรก็ดี ผู้ว่าการ BOJ คาซูโอะ อุเอดะ ยอมรับว่ายังยากต่อการประเมินระดับที่เหมาะสมอย่างชัดเจน

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่กัน โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นมูลค่า 21.3 ล้านล้านเยน เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อและค่าเงินเยนอ่อนค่า

นักวิเคราะห์มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของญี่ปุ่น ซึ่งสวนทางกับทิศทางหลายประเทศหลักที่เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน อาจส่งแรงกระเพื่อมต่อระบบการเงินโลก โดยเฉพาะการคลายสถานะ “carry trade” ที่อาศัยต้นทุนการกู้ยืมเงินเยนต่ำ ขณะที่ตลาดทั่วโลกจับตาสัญญาณจาก BOJ อย่างใกล้ชิด ว่าการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติของญี่ปุ่นจะดำเนินไปเร็วเพียงใด และจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไปมากน้อยแค่ไหน