ผ่ามาตรการ สินเชื่อรายย่อย

แนวโน้มหนี้ครัวเรือนที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนตามการคำนวณของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank For International Settlements) หรือ BIS สะท้อนว่าประเทศไทยจะมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 71.2% ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ถือเป็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นอันดับที่ 3 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อันดับที่ 2 รองจากประเทศเกาหลีที่มีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 91.6% และประเทศออสเตรเลีย อันดับที่ 1 ที่ 123%

นอกจากนี้กลุ่มวัยทำงาน-วัยเกษียณยังก่อหนี้สูงเฉลี่ย 1.5 แสนบาทต่อ
ราย และหนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้เสีย โดยมีเอ็นพีแอลมี 1 ใน 5 นำโดยสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าหนี้ภาคครัวเรือนจะสร้างความเปราะบาง จึงทยอยออกมาตรการมากำกับดูแลเพื่อลดปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเริ่มจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน หรือสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2560 โดยในส่วนมาตรการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับนั้น จำกัดวงเงินผู้กู้ที่มีรายได้ตํ่ากว่า 3 หมื่นบาท วงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ และคุมสถาบันการเงิน 3 แห่ง

ขณะที่บัตรเครดิตจำกัดผู้มีรายได้ตํ่ากว่า 3 หมื่นบาท ให้ได้รับวงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ รายได้ตั้งแต่ 3-5 หมื่นบาท วงเงินไม่เกิน 3 เท่า และรายได้ตั้งแต่ 5 หมื่นบาทขึ้นไป วงเงินไม่เกิน 5 เท่า และได้ปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลงเหลือ 18% จาก 20%

ต่อมา ธปท.เริ่มออกมาแสดงความกังวลในส่วนของสินเชื่อที่อยู่ที่อาศัย เมื่อตัวเลขเอ็นพีแอลที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อที่คาดว่าจะเป็นหนี้เสียสุดท้ายประกอบ กับธปท.พบสัญญาณการให้วงเงินกู้เกินมูลค่าหลักประกัน (LTV) ที่สูงเกินจริง ซึ่งบางรายให้มากกว่า 100% หรือให้วงเงิน Top Up แก่ลูกค้า รวมถึงการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ซึ่งบางครั้งจึงเป็นที่มาของการออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือมาตรการ LTV ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา โดยมาตรการดังกล่าว จะให้ความเข้มงวดขึ้นสำหรับการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 หรือบ้านที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป 

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,472 วันที่ 23 - 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562