"บิ๊กสรรพากร" ชี้! "Blind Trust" ต้องเสียภาษี

'สรรพากร' ระบุ การโอนทรัพย์ให้กองทุนบริหารไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ Blind Trust หรือ Private Fund ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

กรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โอนทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ให้บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร เป็นผู้ดูแลจัดการ โดยไม่มีอำนาจสั่งการ หรือ ยุ่งเกี่ยว จนกว่าจะพ้นจากการเมือง 3 ปี หรือที่เรียกว่า Blind trust

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่ง Trust ใด ๆ ก็ตามจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก่อน จึงจะสามารถดำเนินการได้ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับกอง Trust ดังกล่าว ต้องพิจารณารายละเอียด ว่า ที่ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ระบุไว้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ Blind Trust หรือ Private Fund ก็ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจาก ก.ล.ต. ว่า การที่บุคคลทั่วไปประสงค์จะจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลเพื่อการบริหารจัดการทรัพย์สินก็สามารถทำได้ โดยแต่งตั้งบริษัทที่มีใบอนุญาตจัดการกองทุนส่วนบุคคล อย่างไรก็ดี หากเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ซึ่งบริษัทที่รับจัดการทรัพย์สินของรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวโดยไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
 

นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า กรมสรรพากรได้ร่วมลงนาม MOU กับกรมบังคับคดี ว่าด้วยการจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สำหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สิน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลาย ซึ่งบันทึกข้อตกลงดังกล่าว กรมบังคับคดีจะนำส่งค่าอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่จัดเก็บจากการกระทำตราสารที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สินเป็นรายได้แผ่นดินแทนกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลา และต้นทุน ในการดำเนินงานของ 2 หน่วยงาน

ขณะที่ กรมสรรพากรจะเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบังคับคดีในส่วนของบุคคลที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลายผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 สนับสนุนการดำเนินงานของกรมบังคับคดีได้อีกทางหนึ่ง

"ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ ตลอดจนเป็นการเปลี่ยนผ่านกระบวนการทำงานของภาครัฐเป็นดิจิทัลสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมสรรพากร D2RIVE ในด้าน Digital Transformation เป็นการปรับปรุงบริการของกรมสรรพากรให้ก้าวทันกับพลวัตทางเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ช่วยให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และลดต้นทุน ในการดำเนินงานของภาครัฐ