จากที่ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแนวคิดผลิตขาย “ข้าวประณีต” มุ่งตลาดพรีเมียมเพื่อสร้างทางเลือก และสร้างโอกาสให้เกษตรกร โดยเฉพาะรายย่อยสามารถแปรรูปและจำหน่ายข้าวพื้นถิ่นที่มีคุณค่าภายใต้มาตรฐานที่ตลาดต้องการ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า ทั้งเครื่องสีข้าว อบข้าว แพ็กบรรจุข้าวขนาดเล็ก-กลาง รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสินค้าและการตลาด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถขายข้าวในราคาสูงขึ้นจากเดิม 5-10 เท่า
นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในการผลิตและขายข้าวประณีตดังกล่าว ควรที่จะมีตลาดหรือหาผู้ซื้อให้กับเกษตรกรให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ท่ามกลางการแข่งขันตลาดส่งออกข้าวที่รุนแรง เรื่องนี้มองว่าไอเดีย (ความคิด) ดี ซึ่งต้องคิดต่อยอดว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้บังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้อย่างแท้จริง ซึ่งในกรณีมีผู้ซื้อ จะมีสินค้าเพียงพอส่งมอบหรือไม่ แต่ถ้าจะให้เอกชนเป็นคนทำตลาด และต้องทำการโปรโมชันต่าง ๆ ในระยะยาว จะนำข้าวชนิดใดไปโปรโมตก็ยังไม่ทราบ
สอดคล้องกับนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ที่ให้ความเห็นว่าแนวนโยบายดังกล่าวยังมีลักษณะ “เพ้อฝัน” หรือสร้างภาพ และขาดความชัดเจนในสาระสำคัญ โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ข้าวที่จะให้เกษตรกรผลิต ไม่ว่าจะเป็นข้าวพื้นนุ่มหรือข้าวพื้นแข็ง ต้องระบุให้แน่ชัด เพื่อให้ชาวนาวางแผนการผลิตได้ถูกต้องตามทิศทางนโยบาย เพื่อให้ได้รับราคาข้าวสูงขึ้นจากเดิม 5-10 เท่า อย่างแท้จริง ซึ่งหากมีความชัดเจน ชาวนาทั่วประเทศก็พร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่
“ในเรื่องนี้ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะไม่เข้าใจว่าคือข้าวอะไร จากปัจจุบันชาวนาก็ผลิตข้าวอย่างประณีตในทุกขั้นตอนอยู่แล้ว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและขายให้ได้ราคามากที่สุด”
ขณะที่นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อธิบายความหมายของ “ข้าวประณีต” ว่า เป็นแนวคิดคล้ายกับวงการไวน์ ซึ่งให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาและตัวตนของผู้ผลิต โดยผ่านฉลากที่ระบุแหล่งปลูก ผู้ผลิต และปีผลิต สะท้อนภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา และประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ข้าวก็เช่นเดียวกัน หากต้องการยกระดับให้เป็น “ข้าวประณีต” ต้องสร้างเรื่องราวและอัตลักษณ์ให้ชัดเจนจนกลายเป็นแบรนด์
ยกตัวอย่าง "เวียดนาม" ที่กำลังเร่งสร้างแบรนด์ข้าวของตนเอง ไม่ขายเป็นล็อตใหญ่แบบเดิม แต่บรรจุเป็นถุงขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มมูลค่าและควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า ดังนั้น การทำข้าวประณีตต้องเริ่มตั้งแต่กระบวนการปลูก การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไปจนถึงมือผู้บริโภค เพื่อให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน กระบวนการผลิตและขนส่ง การควบคุมเมล็ดพันธุ์และการเคลื่อนย้ายข้าว จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการปลอมปน
“การ สร้างแบรนด์ข้าว ต้องเกิดจากการร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงภาครัฐ โดยเสนอให้จัดตั้ง ‘สมาพันธ์ข้าว’ ที่รวมชาวนา โรงสี ผู้ส่งออก และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด มาร่วมกันกำหนดกรอบนโยบายและทิศทางการพัฒนาข้าวไทย เพื่อให้หน่วยงานรัฐนำไปปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ครั้งก็ตาม โดยไม่โยงกับการเมือง แต่ต้องเดินหน้าเพื่อยกระดับข้าวไทยอย่างยั่งยืน” นายวิชัย กล่าวยํ้า
อนึ่ง กรมการข้าว รายงาน ปีการผลิต 2568/69 เกษตรกรได้แจ้งขึ้นทะเบียนการเพาะปลูกข้าวนาปี (รอบที่ 1) ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2568 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน 4,615,505 ครัวเรือน ทำการเพาะปลูกแล้ว 58,357,360 ไร่ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือปลูกมากที่สุด 36,514,393 ไร่ รองลงมาคือภาคเหนือ 14,102,547 ไร่ ภาคกลาง 7,440,412 ไร่ และภาคใต้ 300,008 ไร่ ตามลำดับ เกษตรกรปลูกข้าวหอมมะลิ จำนวนกว่า 29 ล้านไร่ รองลงมาข้าวเหนียวกว่า 13 ล้านไร่ ข้าวเจ้ากว่า 10 ล้านไร่ ข้าวหอมไทย 6.7 แสนไร่ และข้าวตลาดเฉพาะ 555,233 ไร่
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,156 วันที่ 11 - 13 ธันวาคม พ.ศ. 2568