เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้เห็นชอบโครงการใหม่เพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร หนึ่งในมาตรการ ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น หรือแหล่งอื่นตามที่สำนักงบประมาณพิจารณา และมอบหมายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ดำเนินการรับซื้อตั้งแต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติถึงวันที่ 30 เมษายน 2569
รองศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ / TDRI) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยใช้ อคส. และ อ.ต.ก. เป็นเครื่องมือในการรับซื้อข้าวเปลือก หวั่นจะซํ้ารอยและเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดของรัฐบาลชุดก่อน และหากส่งไปให้โรงสีสีแปรสภาพจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสารก็จะมีปัญหาตามมาอีกมาก
“มองว่าไม่ควรใช้กลไกรัฐในการดำเนินการในครั้งนี้ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาข้าวเน่า และการทุจริตได้ง่าย โดยเฉพาะการซื้อชี้นำสูงกว่าราคาตลาดตันละ 300 บาท ซึ่งไม่ควร เพราะไทยไม่มีความสามารถในการชี้นำราคาข้าวในตลาดโลก เพราะราคาตลาดโลกเป็นไปตามกลไกตลาดตามดีมานด์-ซัพพลาย และหลายประเทศก็ผลิตและส่งออกข้าวมากกว่าไทย ซึ่งประเทศผู้นำเข้าเวลาข้าวขาดแคลนก็จะนำเข้า แต่เวลาผลผลิตข้าวในประเทศมีมากและเพียงพอก็จะไม่นำเข้า ขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกยังผันผวนตามนโยบายรัฐบาลของแต่ละประเทศ”
รศ.ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า การซื้อข้าวชี้นำตลาด ทำให้ราคาข้าวแพงกว่าที่เอกชนรับซื้อ ขณะที่เรื่องการขนส่ง ก็ต้องจ้างเอกชนทำหมด และพอเวลานำข้าวมาประมูลขายก็จะเกิดปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอนของกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้นมองว่าในเรื่องนี้ควรให้เป็นเรื่องของเอกชนในการรับซื้อและรับผิดชอบกันไป ภาครัฐไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ด้านแหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า ที่มาของโครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก เนื่องมาจากผลกระทบจากสถานการณ์ตลาดโลก และผลผลิตข้าวโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอินเดียและอีกหลายประเทศมีสต็อกข้าวเพิ่มขึ้น ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาส่งออกสูง โดยผลผลิตข้าวไทยปีการผลิต 2568/69 คาดจะอยู่ที่ 35.44 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งใกล้เคียงกับปีการผลิตที่ผ่านมา เนื่องจากนํ้าท่าดี เกษตรกรมีนํ้าทำนา
ทั้งนี้ ผลผลิตข้าวปีการผลิต 2568/69 ถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าปกติที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 32 ล้านตันข้าวเปลือก ขณะที่ความต้องการใช้ข้าวทั้งการบริโภคภายในและการส่งออกค่อนข้างคงที่ ส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกินประมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งกลุ่มข้าวที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มข้าวขาวและข้าวหอม เนื่องจากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ส่งออกสำคัญอย่างเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน จึงจำเป็นต้องมีมาตรการดูดซับผลผลิตส่วนเกินโดยด่วน
“การรับซื้อข้าวเปลือกโดยให้ อคส. อ.ต.ก. และสหกรณ์การเกษตรที่มีศักยภาพรับซื้อ/หรือผู้นำซื้อ (โรงสี) รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคานำตลาดไม่เกินตันละ 300 บาท เพื่อดึงอุปทานจากพื้นที่นำเข้าสู่กระบวนการสีแปรสภาพเป็นข้าวสาร ด้วยอัตราค่าจ้างสีแปรสภาพกำหนดที่ไม่เกินตันละ 200 บาท และเชื่อมโยงผลผลิตไปยังตลาดปลายทางอย่างรวดเร็ว อาทิ หน่วยงานราชการ สถานีบริการนํ้ามัน หรือเก็บสำรองข้าวสารเพื่อความมั่นคงทางอาหาร และสนับสนุนค่าบริหารจัดการให้ อคส. และ อ.ต.ก. ไม่เกินตันละ 60 บาท”
อย่างไรก็ดี โครงการนี้อาจจะดูคล้ายกับจำนำข้าว ที่ซื้อราคาสูงกว่าตลาด ซึ่งไม่ง่าย เพราะในตลาดมีคู่ค้ารายเดิมอยู่แล้ว การที่จะไปแทรกก็ต้องไปเบียดให้คู่ค้ารายเดิมออกไปเพื่อขายแทน และการที่เข้าไปขายแทน ข้าวที่จะขายก็ยังต้องดูอีกว่า ราคาแพงกว่า ถูกกว่า หรือเท่ากัน เช่นเดียวกับค่าสีแปรตันละ 200 บาท โรงสีไม่คุ้มกับการผลิต เมื่อเทียบกับโครงการจำนำข้าวเปลือก ได้ค่าสีแปรตันละ 500-550 บาท ยกเว้นให้ค่าผลพลอยจากการสีให้กับโรงสี
“ราคาข้าวที่จะซื้อชี้นำตลาดจะทำให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น ยากต่อการแข่งขัน จากการมีดีมานด์เทียม คนที่จะมาซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาลก็ทำไม่ได้มาก เพราะจะซื้อเท่าที่จำเป็นต่อความต้องการใช้เท่านั้น หากซื้อแพง ไปขายแพง ก็เสี่ยงขายไม่ได้และเสี่ยงขาดทุน”
ขณะที่แหล่งข่าวผู้ประกอบการข้าวถุง กล่าวว่า ผลจากการดูดซับคำนวณข้าวเปลือก 3 ล้านตัน เมื่อสีแปรเป็นข้าวสาร จะได้ประมาณ 1.5 ล้านตัน เมื่อนำมาคำนวณบรรจุถุง 5 กิโลกรัม (กก.) จะได้ข้าวสารบรรจุถุง 300 ล้านถุง หากมีการรับซื้อแล้วไม่สามารถที่จะไปจำหน่ายได้ถึงผู้บริโภค ก็จะเกิดสต็อกค้างอยู่ในโครงการ สุดท้ายก็ถูกประมูลขายถูกอีก
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,152 วันที่ 27 - 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568