นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ไม่เห็นด้วยกับการ "ควบคุมการขนย้ายข้าวเปลือก" แม้จะบอกว่าให้ขนย้ายจากภาคอีสานลงมาได้ โดยจะจำกัดเฉพาะรถจากภาคอื่นเข้าภาคอีสาน แต่ในความเป็นจริงขั้นตอนการขนย้ายข้าวทั้งหมดจะไม่สะดวก ติดขัด และอาจจะเป็นช่องทางเรียกรับผลประโยชน์ของผู้ไม่สุจริตบางคนไม่ว่าจะขนไปทางใดก็แล้ว แต่การที่สมาคมชาวนาฯ ออกมาทักท้วงในเรื่องนี้เพราะสมาคมฯเห็นว่าจะเกิดผลเสียกับชาวนาหากการรับซื้อข้าวเปลือกเกิดการชะงัก ชะลอการซื้อข้าวเปลือกสดจากชาวนา
"จากการได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนายกสมาคมโรงสีข้าวภาคอีสาน หากท่านต้องการรักษาผลประโยชน์ของชาวนาภาคอีสานและคุณภาพข้าวหอมมะลิจริง ไม่ควรที่จะเป็นการกำหนดห้ามรถขนข้าวเปลือกจากภาคอื่นไปยังภาคอีสาน เพราะการผสมปนข้าวไม่ได้เกิดเฉพาะในข้าวเปลือก การผสมปนข้าวสามารถเกิดกับข้าวสารได้ด้วย ยิ่งปัจจุบันผู้บริโภคข้าวหอมมะลิในประเทศเองก็สับสนว่าข้าวหอมมะลิไทยที่วางจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อมีการผสมปลอมปนหรือไม่ เพราะหลายคนบ่นถึงเรื่องไม่หอม ไม่นุ่ม แข็ง กระด้าง และสงสัยว่าเป็นหอมมะลิจริงหรือไม่"
นายปราโมทย์ กล่าวอีกว่า ในพื้นที่ภาคอีสานไม่ได้ปลูกเฉพาะหอมมะลิ มีปลูกทั้งข้าว กข79 ข้าวหอมสยาม ข้าวหอมปทุมธานี และพันธุ์ข้าวอื่น ๆ ท่านก็น่าจะทราบดี โดยกระจายอยู่ทั่วภาคอีสานปลูกทั้งนาปีและนาปรัง แล้วโรงสีภาคอีสานซื้อเฉพาะข้าวหอมมะลิเท่านั้นหรือไม่ ไม่มีการรับซื้อข้าวชนิดอื่นเลยหรือ แล้วในฐานะผู้ประกอบการโรงสีใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตรวจคัดแยกข้าวแต่ละชนิด หรือตรวจสอบข้าวในขั้นตอนการรับซื้ออย่างไร
"สมาคมชาวนาเชื่อว่าโรงสีมีความสามารถในการตรวจสอบข้าวแต่ละชนิดเป็นอย่างดีอยู่แล้วและผู้ประกอบการโรงสีย่อมจะต้องมีความชำนาญในเรื่องนี้ ต้องมีวิธีตรวจสอบที่ชัดเจน มิฉะนั้นคงจะไม่สามารถทำธุรกิจค้าข้าวได้จนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ท่านกังวลแสดงให้เห็นว่าท่านได้ตรวจพบว่ามีการปลอมปนและจำหน่ายให้ท่าน แล้วทำไมท่านจึงไม่ดำเนินคดี หรือดำเนินการทางกฎหมายเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างซึ่งเป็นการช่วยกันป้องกันผู้มีเจตนาผสมปลอมปนข้าวเปลือกนำมาจำหน่าย" นายปราโมทย์ กล่าว
อย่างไรก็ดี การจะแก้ไขการปลอมปนข้าวหอมมะลิต้องทำทั้งระบบ "ทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาร" ไม่ได้แก้ได้ด้วยการห้ามรถขนย้ายวิ่งขึ้นอีสาน ที่จะมีข้อเสียตามมามากกว่าผลดีที่จะได้ ส่วนเรื่องของมาตรฐานและคุณภาพข้าวหอมมะลิที่ส่งออกผู้ส่งออกก็มีความเข้มงวดในการรับสินค้าโดยเฉพาะข้าวหอมะลิซึ่งเป็นเงื่อนไขตกลงว่าจะต้องมีการตรวจสอบพันธุกรรม (DNA) อีกทั้งกรมการค้าต่างประเทศมีการตรวจสอบที่เข้มงวดอยู่แล้ว มีการสุ่มตัวอย่างตรวจ DNA ก่อนออกสู่ต่างประเทศ เพราะข้าวหอมมะลิเป็นสินค้ามาตรฐาน ดังนั้นการส่งออกไปขายโดยไม่ได้คุณภาพจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ข้าวหอมมะลิส่วนที่ขายภายในประเทศน่าเป็นห่วงว่าผู้บริโภคได้รับสินค้าตรงตามที่ต้องการ และคุ้มกับเงินที่จ่ายไปหรือไม่
ในช่วงท้าย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ขอเรียกร้องให้หน่วยงานราชการ และองค์กรอิสระ ช่วยตรวจสอบข้าวถุงที่จำหน่ายภายในประเทศภายใต้ตราข้าวหอมมะลิไทย ทั้งในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ รวมถึงยี่ปั๊วซาปัวที่จำหน่ายข้าวสารทั่วประเทศ เพราะข้าวที่ชาวนาเพาะปลูกเป็นข้าวที่ดี แต่ข้าวที่จำหน่ายภายในประเทศได้มีการผสม ปลอมปน ขายให้กับผู้บริโภคอย่างไรหรือไม่ เพื่อเป็นการ "แก้ปัญหาการปลอมปนข้าวทั้งระบบ" ที่ปัจจุบันผู้บริโภคในประเทศก็เกิดความสับสนในคุณภาพข้าวที่ไปรับซื้อมาบริโภคว่ายังคงความเป็นข้าวหอมมะลิอยู่หรือไม่
สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยมีความเห็นว่า การออกระเบียบห้ามขนย้าย เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุไม่ตรงจุด ดังที่ กรรมการท่านหนึ่งให้ความเห็นต่อที่ประชุม นบข.ว่าเป็นการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน“