จับตาสัปดาห์นี้พาณิชย์ไฟเขียวออกกฎเหล็กคุมเข้มขนย้ายเข้าเปลือก แจงชัดเหตุต้านปัญหาเพียบผวาเปิดช่องปลุกผีเงินใต้โต๊ะสะพัดทั่วประเทศ “เกรียงศักดิ์”เตือนแก้ไม่ถูกจุด ยิ่งสร้างปัญหามากขึ้นในอนาคต ชี้ขั้นตอนยุ่งยากอาจหยุดรับซื้อ
ในอดีตช่วงที่รัฐบาลมีโครงการจำนำข้าวเปลือกคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เคยออกประกาศ คุมขนย้ายข้าวเปลือกใน 24 จังหวัดติดชายแดนต้องขออนุญาตขนย้ายข้าวเปลือกตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป ต้องขออนุญาตกับอธิบดีกรมการค้าภายใน หรือคณะกรรมการส่วนจังหวัด ส่วนโรงสีครอบครองข้าวเกิน 15 ตันต้องแจ้งปริมาณ หวังสกัดสวมสิทธิ์-ปลอมปน เกิดอะไรขึ้น หากนำมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เหมาะสมหรือไม่ที่จะคุมเข้มเพื่อใช้ป้องกันปัญหาข้าวหอมมะลิปลอมปน
นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ปัญหาของเรื่อง "การออกใบขนย้ายข้าวเปลือก" นั้นเกิดจากขั้นตอนปฏิบัติ เนื่องจากอำนาจจะอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในการเช็นอนุมัติรถบรรทุกข้าว 1 คัน จะต้องใช้ 1 ใบระบุน้ำหนักบรรทุก ระบุต้นทางและปลายทางและในทางปฏิบัติผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะมอบอำนาจให้ส่วนราชการเป็นผู้ออกแทน เช่น เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดหรือส่วนราชการอื่นๆในพื้นที่เป็นผู้ออกใบขนย้ายข้าวเปลือกและในระหว่างการขนส่งก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยเฝ้าตรวจสอบรถบรรทุกข้าวเปลือกว่ามีใบขนย้ายหรือไม่
ประเด็นปัญหาคือ เจ้าหน้าที่ ที่ออกใบขนย้าย ทำงานในเวลาราชการ ส่วนผู้ค้าข้าวเปลือกจะรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงกลางวันจนถึงค่ำมืด (เลยเวลาทำการราชการ) แล้วจึงจัดดำเนินการลำเลียงขึ้นรถแล้วขนส่งข้าวเปลือกไปยังปลายทาง ซึ่งมีอุปสรรคที่เกิดขึ้นคือเกิดความไม่คล่องตัวเนื่องจากเวลาไม่ตรงกัน เจ้าหน้าที่บางครั้งติดงานราชการ และนอกเวลาราชการก็ติดเรื่องภารกิจส่วนตัว เช่น งานบวช งานแต่ง งานศพ (บางคนอาจจะถือเป็นงานฝากจึงไม่ให้ความสำคัญ) ส่วนในจุดรับซื้อข้าวเปลือก(จุดรวบรวมต่างๆ)อยู่ห่างไกลสถานที่ออกใบขนย้ายข้าวเปลือก 50-60 กม. และบางจุด ห่างกัน เป็น 100 กม.ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง บุคลากรต้องวิ่งติดต่อเอกสารการรับซื้อวันๆมีปริมาณข้าวที่รับซื้อจำนวนมาก
ในอีกด้านข้าวเปลือกที่รับซื้อจากเกษตรกร เป็นข้าวสดมีความชื้นต้องรีบดำเนินการขนย้ายให้ถึงปลายทางเร็วที่สุด เพื่อทำการลดความชื้น ถ้ามีความล่าช้าจะเกิดปัญหา การมีกลิ่นอับ เหม็นเปรี้ยว ทำให้ข้าวเสียหายไม่ได้คุณภาพ โดยเฉพาะข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่ความหอมและกลิ่นเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งการกำหนดพื้นที่ๆจะต้องมีใบขนย้ายอาจจะกำหนดเป็นบ้างจังหวัดก็จริงอยู่
แต่ในข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ตาม ด่านตรวจต่างๆจะขอดูใบขนย้าย ถ้าไม่มีก็จะกักรถไว้ไม่ให้เดินทาง กว่าจะพิสูจน์ได้ว่ารถมาจากจังหวัดไหน (ที่ไม่ต้องใช้ใบขนย้าย) ข้าวก็จะเน่าเสียหายมี กิ่นอับเหม็นเปรี้ยว สุดท้ายก็ขอดูหมดทุกคันไม่ว่ามาจากไหนไปไหน เพราะเจ้าหน้าที่ท่านไม่ทราบว่าเป็นข้าวมาจากไหนก็ต้องขอดูเอกสาร รถทุกคันที่ผ่านด่านตรวจ
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า สุดท้ายก็จะเกิดปัญหาในการซื้อขายขนย้ายที่ไม่คล้องตัวลดกำลังซื้ออาจส่งผลต่อราคาข้าวเปลือกของเกษตรกรและยังอาจจะกลายเป็นปัญหา ในการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบในที่สุด จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและจะกลับเป็นผลเสียมากกว่า เพราะเหตุการแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จนผู้ประกอบต้องยื่นเรื่องต่อกรมการค้าภายในให้ยกเลิกการออกใบขนย้าย แต่ให้ยังคงไว้เฉพาะพื้น อำเภอ หรือตำบล ที่มีพื้นชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้วงการข้าวกำลังจับตาอยู่ในการประชุม กกร.ว่ากรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะเดินหน้าหรือถอยขนย้ายเข้าเปลือกหรือไม่