‘ข้าวไทย’โคม่า! พ่ายเวียดนามยับ ต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ 14 ปี 4 รัฐบาลสูญ 1.3 ล้านล้าน ยังย่ำกับที่

13 พ.ย. 2568 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ย. 2568 | 04:07 น.

ขีดแข่งขันข้าวไทยทรุดหนักรอบ 14 ปี ต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ พันธุ์ข้าวไม่ตอบโจทย์ ผ่าน 4 รัฐบาลยังแก้ไม่ถูกจุด มุ่งประชานิยมใช้เงินอุดหนุนเกษตรกรแล้วกว่า 1.3 ล้านล้าน จับตาน้ำเต็มเขื่อน ผลผลิตข้าวทั่วประเทศปีหน้าพุ่ง ทุบราคาต่ำ จี้รัฐลุยข้าวพื้นนุ่ม-ข้าวคาร์บอนต่ำตอบโจทย์โลก กรมการข้าวรับลูกล้านไร่

KEY

POINTS

  • ข้าวไทยเผชิญวิกฤตความสามารถในการแข่งขันถดถอย โดยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า (7,200-7,500 บาท/ตัน) และผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่า (370-600 กก./ไร่) เวียดนามอย่างชัดเจน
  • นโยบายประชานิยมของรัฐบาลในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ใช้งบประมาณกว่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ทำให้ชาวนาไม่พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต
  • เวียดนามมีความก้าวหน้าในการพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะข้าวพื้นนุ่มที่ให้ผลผลิตสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ขณะที่ไทยยังขาดการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างจริงจัง
  • ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำอย่างหนัก สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ชาวนาประสบภาวะขาดทุนและมีความเสี่ยงสูงในการประกอบอาชีพ

วิกฤต “ข้าวไทย” กลับมาอีกครั้ง เมื่อข้อมูลล่าสุดชี้ว่าผลผลิตต่อไร่ของชาวนาลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นสวนทางรายได้ ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกต่ำ และราคาส่งออกอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 15 ปี ส่งสัญญาณชัดว่าความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมข้าวไทยกำลังถดถอยอย่างหนักในตลาดโลก

รองศาสตราจารย์สมพร อิศวิลานนท์ อดีตนักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วง 14 ปี ใน 4 รัฐบาลที่ผ่านมา (รัฐบาลยิ่งลักษณ์, รัฐบาลพลเอกประยุทธ์, รัฐบาลเศรษฐา, รัฐบาลแพทองธาร) นโยบายข้าวของรัฐบาลยังคงวนเวียนอยู่กับประชานิยมรูปแบบเดิม ทั้งโครงการจำนำข้าว ประกันรายได้ และเงินอุดหนุนตรงสู่ชาวนา เช่น แจกไร่ละพัน รวมใช้เม็ดเงินไปแล้ว 1.2–1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กลับกลายเป็นกับดักนโยบายที่ทำให้ชาวนาไทยจำนวนมากไม่พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และไม่ปรับตัวให้สอดรับกับการแข่งขันโลก

ในขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดียเร่งยกระดับคุณภาพพันธุ์ข้าวและระบบการผลิตสมัยใหม่ จนสามารถส่งออกข้าวราคาดีกว่าและมีต้นทุนต่ำกว่า ไทยกลับยังติดหล่มระบบอุดหนุนที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งกำลังกลายเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจฐานรากและความมั่นคงทางอาหารของชาติ

‘ข้าวไทย’โคม่า! พ่ายเวียดนามยับ ต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ 14 ปี 4 รัฐบาลสูญ 1.3 ล้านล้าน ยังย่ำกับที่

ผลผลิตข้าวไทยต่ำสุด

ปัจจุบันข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกรเคยขายได้ในปีที่ผ่านมา 1 หมื่นบาทต้น ๆ ต่อตัน ปัจจุบันลดลงเหลือไม่เกิน 8,000 บาทต่อตัน แต่หากเป็นข้าวเกี่ยวสดความชื้นสูงจะขายที่ระดับ 5,000-6,000 บาทต่อตันเท่านั้น ซึ่งราคาระดับนี้ชาวนาอยู่ไม่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉลี่ยชาวนาไทยมีต้นทุนการผลิต (ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเก็บเกี่ยว และอื่น ๆ) 7,200-7,500 บาทต่อตัน เทียบกับคู่แข่งขัน เช่น เวียดนามมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 6,000 บาทต่อตัน อินเดียเฉลี่ย 5,000 บาทต่อตัน

ขณะที่ผลผลิตต่อไร่ของไทยต่ำเฉลี่ย 370–600 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ ถือว่าต่ำสุดในอาเซียน เทียบกับเวียดนามผลผลิตเฉลี่ย 800 กก./ไร่หรือมากกว่า 1 ตันในบางพันธุ์ อินเดีย 700–800 กก./ไร่ เทียบศักยภาพต้นทุนและผลผลิตต่อไร่แล้ว ชาวนาไทยมีทั้งเสมอตัว ขาดทุน หรือมีกำไรเพียงเล็กน้อย ส่วนที่ยังมีกำไรมาจากการใช้สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง และมีวิธีการในการลดต้นทุน ทำให้ในวันนี้อาชีพทำนามีความเสี่ยงและเปราะบางมาก มีโอกาสที่จะตกขอบ หรือยากจนลงไปเรื่อย ๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้เฉลี่ยของคนไทยติดกับดักรายได้ปานกลางตลอดช่วงที่ผ่านมา

“ข้อเสนอแนะในระยะกลางและในระยะยาวที่จะทำให้ชาวนาไทยอยู่รอด อาทิ การทำโซนนิ่งพื้นที่ทำนาไปสู่การทำไร่นาสวนผสม ซึ่งจะทำให้ชาวนามีรายได้เป็นรายเดือน ไม่ใช่แค่ตามฤดูกาลผลิต ตัวอย่างเช่นในเขตดำเนินสะดวก บ้านแพ้ว มีการทำสวนผลไม้หรือปลูกพืชผักริมร่องน้ำ ก็สามารถเก็บขายและมีรายได้เป็นรายสัปดาห์ได้”

ต่อมาคือการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) พันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงโดยรัฐบาล ซึ่งล่าสุดมีพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มใหม่ที่กรมการข้าวรับรองและให้ผลผลิตสูง (มากกว่า 800 กก.ต่อไร่) เช่น กข113, กข117, กข119 จะต้องเร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เพียงพอกับความต้องการของชาวนา ทั้งนี้ หากมีพันธุ์ข้าวที่ดี ให้ผลผลิตสูงเหมือนประเทศจีน เพื่อตอบสนองความต้องการของชาวนา และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ต้นทุนต่อหน่วยก็จะลดลง ชาวนาจะมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ต้องเร่งปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ ที่เป็นทิศทางอนาคตของโลกที่ช่วยลดโลกร้อน ซึ่งจะช่วยให้ไทยขายข้าวในตลาดโลกได้ราคาสูงขึ้น นอกจากนี้ต้องพัฒนาทุนมนุษย์ในการ Re-skill ให้ชาวนาที่เวลานี้ส่วนใหญ่มีอายุมากสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตได้

ข้าวพื้นนุ่มเวียดนามเหนือไทย

สอดคล้องกับรองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ที่เผยว่า ในเรื่องของพันธุ์ข้าวที่ปัจจุบันตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ในตลาดโลกให้ความนิยมข้าวพื้นนุ่มมากขึ้น ซึ่งในส่วนของไทยต้องเร่งพัฒนาสายพันธุ์ข้าว และผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นนุ่มที่ตอบโจทย์ชาวนาในเรื่องให้ผลผลิตสูง ช่วยให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดจากฐานพันธุกรรมของกรมการข้าว พันธุ์ข้าวไทยมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ มีการแบ่งข้าวออกเป็น 7 ประเภท เช่น ข้าวนาสวนไวต่อช่วงแสง ข้าวนาสวนไม่ไวต่อช่วงแสง ข้าวขึ้นน้ำ เป็นต้น จากข้าวทั้ง 7 ประเภท เป็นข้าวพื้นนุ่มสัดส่วน 10–20% ของจำนวนสายพันธุ์ทั้งหมด หรือมีประมาณ 40 สายพันธุ์ อาทิ สายพันธุ์ กข79, กข97, กข99, กข43 (ค่าน้ำตาลต่ำ), กข103, กข105, กข107, กข109 เป็นต้น

เทียบกับเวียดนามมีสายพันธุ์ข้าวมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ ในจำนวนนี้มีสายพันธุ์ข้าวพื้นนุ่ม 50% ของสายพันธุ์ทั้งหมด อาทิ พันธุ์ ST24, ST25, ST20 และ KDM (Khao Dawk Mali) เป็นต้น โดยพันธุ์ข้าวเหล่านี้ของเวียดนามให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 960 กก.ถึง 1.3 ตันต่อไร่

“นโยบายข้าวไทยต้องเปลี่ยนจากที่ผ่านมา มีการแทรกแซงราคาข้าว จำนำข้าว มีการพัฒนาสายพันธุ์แต่มีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะไม่ตอบโจทย์ชาวนาและตลาดส่งออก งบวิจัยข้าวมีน้อย ไม่จริงจังกับการลดต้นทุนการผลิต ข้าวคาร์บอนต่ำก็ทำไม่จริงจัง ส่งผลให้ห่วงโซ่การผลิตข้าวเป็น ‘เบี้ยหัวแตก’ เทียบกับเวียดนาม รัฐบาลเขาไม่แทรกแซงราคาข้าว มีการพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง เพิ่มงบวิจัยข้าวมากขึ้นทุกปี มีนโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม (ลดค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเมล็ดพันธุ์ เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้) มีนโยบายและขับเคลื่อนข้าวคาร์บอนต่ำที่เป็นรูปธรรม ขณะที่ห่วงโซ่การผลิตข้าวของเขาเป็น One Team ทำให้การขับเคลื่อนมีประสิทธิภาพมากกว่าไทย”

ชาวนาระทมราคาข้าวดิ่งหนัก

ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า เวลานี้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ตกต่ำลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ โดยข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ 4,500-6,000 บาทต่อตัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อตัน (ขึ้นกับค่าความชื้น) จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วขายได้ที่ 11,000-12,000 บาทต่อตัน ถือว่าราคาลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณลดลง และในราคาที่ลดลง หลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว และหลายประเทศที่เป็นลูกค้าของไทย เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลดหรือไม่นำเข้าข้าวในปีนี้

“สถานการณ์ราคาข้าวตกต่ำอยากให้รัฐบาลช่วยแก้ไขเร่งด่วน เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปถึงปีหน้าที่ราคาอาจลดลงอีก เพราะเวลานี้น้ำท่าสำหรับการทำนามีมาก และเขื่อนส่วนใหญ่มีน้ำเต็ม ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวในปีหน้าคาดว่าจะมากขึ้นอีกจากปีนี้ ในส่วนของข้าวคาร์บอนต่ำก็เห็นด้วยหากภาครัฐจะเร่งดำเนินการ โดยต้องมีการจัดโซนนิ่ง เนื่องจากการทำนาในรูปแบบนี้ต้องมีการใช้น้ำมาก เพราะทำแบบเปียกสลับแห้ง หากทำได้จะขายได้ราคาพิเศษ บวกขายคาร์บอนเครดิตได้อีก จะเป็นทางเลือกที่ดี”

สั่งลุย “ข้าวคาร์บอนต่ำ” ล้านไร่

ขณะที่นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว เผยว่า โครงการข้าวคาร์บอนต่ำเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่กรมการข้าวจะเร่งขับเคลื่อนตามนโยบายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และนายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป้าหมายเบื้องต้น 1 ล้านไร่ เพื่อส่งเสริมการปลูกแบบเปียกสลับแห้ง ลดปุ๋ยเคมี ใช้ชีวภัณฑ์ ลดต้นทุนอย่างน้อย 10% และเพิ่มผลผลิต 20% เมื่อได้ผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำแล้ว เกษตรกรจะขายข้าวได้ในราคาสูงกว่าราคาตลาด 500 บาทต่อตัน

ทั้งนี้ จาก 1 ล้านไร่ จะได้ข้าวเปลือกประมาณ 5 แสนตัน เมื่อผ่านกระบวนการสีแปรเป็นข้าวสารเต็มเมล็ดจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนตันข้าวเต็มเมล็ด อีก 15% ปลายข้าวหัก ปริมาณ 75,000–1 แสนตัน หากส่งออกไปในรูปกลุ่มข้าวหอมไทย คิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ 520 ล้านบาท รวม 5,520 ล้านบาท ถือเป็นการเริ่มต้นข้าวคาร์บอนต่ำของไทยอย่างจริงจัง เมื่อมีผลผลิตออกมาแล้ว ถุงข้าวจะมีฉลากที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานมาตรฐานว่าเป็นข้าวคาร์บอนต่ำด้วย

“จากนี้ไปเมื่อเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ จะมีการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น และสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการข้อมูลลดคาร์บอนที่มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือในตลาดโลก พร้อมทั้งยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทยเพื่อความยั่งยืน โดยจะดำเนินการจัดตั้งทีมทำงานวิจัยร่วมกันในรูปแบบสมาพันธ์หรือสมาคม มีองค์ประกอบ ได้แก่ นักวิชาการจากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบัน/กลุ่มเกษตรกร เพื่อดำเนินการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวตามที่สมาคมฯ ได้ให้ข้อมูล และกรมการข้าวภายใน 2 ปี มีผลผลิตต่อไร่สูง 1,200–1,300 กิโลกรัมต่อไร่”

เอกชนรอทำตลาด ชี้ต้องมี 6 ล้านไร่

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในการทำตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ ในแง่การส่งออก ข้าวต้องมีปริมาณเพียงพอ ต้องมีพื้นที่ปลูกอย่างน้อย 5–6 ล้านไร่เป็นอย่างต่ำ ซึ่งในเบื้องต้นเป้าหมายที่ 1 ล้านไร่ยังน้อยเกินไป ขณะที่เวียดนามมีแผน 6 ล้านไร่นำร่องผลิตข้าวคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง ในเบื้องต้นยังไม่สามารถไปนำเสนอขายได้ เพราะหากมีการทำตลาด จะมีปัญหาไม่มีของส่งให้กับลูกค้า

นายจารึก กมลอินทร์ ประธานกรรมการกลางศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ กล่าวว่า จากปริมาณน้ำในเขื่อนในเวลานี้มีมากจากฝนดี คาดว่าในฤดูกาลหน้าชาวนาจะปลูกข้าวเพิ่มขึ้น มองว่าข้าวคาร์บอนต่ำจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับชาวนาและช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี มองว่าไม่ควรจำกัดแค่ 1 ล้านไร่ เชื่อว่าเมื่อเปิดโครงการจะมีชาวนาเข้ามาร่วมโครงการจำนวนมาก ซึ่งการคัดเลือกจะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้