โรงสีแห่ร่วมชดเชยดอกเบี้ยข้าวนาปี พาณิชย์ ตั้งเป้าดึงสต๊อก 4 ล้านตันพยุงราคา

28 ต.ค. 2568 | 02:15 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ต.ค. 2568 | 03:44 น.

กรมการค้าภายใน เผย โครงการชดเชยดอกเบี้ยปี 68/69 ผู้ประกอบการ–โรงสี–สถาบันเกษตรกร แห่เข้าร่วมกว่า 217 ราย จาก 44 จังหวัด วงเงิน 642 ล้านบาท เริ่มรับซื้อ 1 พ.ย.นี้ ตั้งเป้าดึงผลผลิต 4 ล้านตัน

KEY

POINTS

  • กระทรวงพาณิชย์ดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้โรงสีและผู้ประกอบการเก็บสต็อกข้าวนาปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน เพื่อพยุงราคา
  • มีผู้ประกอบการและโรงสีเข้าร่วมโครงการแล้ว 217 ราย โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี สำหรับการเก็บสต็อกนาน 2-6 เดือน
  • โครงการจะเริ่มรับซื้อข้าวตั้งแต่ 1 พ.ย. 68 - 31 มี.ค. 69 เพื่อช่วยดูดซับผลผลิตในช่วงที่ออกสู่ตลาดมากและรักษาเสถียรภาพราคา

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินมาตรการดูแลราคาข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ว่า กรมการค้าภายในได้มีการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 2568/69 ซึ่งในปีนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการ โรงสี สถาบันเกษตรกรอย่างคึกคักตั้งแต่ต้นฤดูกาลและมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่าปีที่ผ่านมา 

โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะดึงผลผลิตข้าวเปลือกนาปีเข้ามาเก็บสต๊อกโดยมีเป้าหมาย 4 ล้านตัน ภายใต้วงเงิน 642 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปีนี้มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อมาตรการของรัฐ โดยผู้ประกอบการจะเริ่มรับซื้อและเก็บสต็อกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569 และจะสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ วันที่ 31 ตุลาคม 2570 

โดยจะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร และเก็บสต็อกไว้ 2 – 6 เดือน โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการสามารถนำเงินไปซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร มาเก็บไว้ในสต๊อกก่อนนำออกขายภายหลังฤดูกาล 

ขณะเดียวกัน เชื่อว่าการดำเนินโครงการจะช่วยดึงผลผลิตออกจากตลาดได้และจะส่งผลดีต่อราคาข้าวในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดกระจุกตัว และจะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาข้าวภายในประเทศได้ โดยขณะนี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 6.76 ล้านตันข้าวเปลือก คิดเป็น 25% ของผลผลิตทั้งหมด และจะเข้าสู่ช่วงผลผลิตออกมากในเดือนพฤศจิกายนนี้

  นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โดยให้เกษตรกรเก็บข้าวในยุ้งฉางและรับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน รวมถึงโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 รองรับข้าวเปลือกกว่า 1.5 ล้านตัน 

 

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน

 

อย่างไรก็ตาม กรมฯในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เตรียมเสนอให้ นบข. พิจารณามาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เพิ่มเติม โดยให้ 3 หน่วยงาน คือ องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เป้าหมาย 3 ล้านตัน เพื่อช่วยดึงราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมาก ในส่วนของการเร่งรัดการระบายข้าว พร้อมทั้งผลักดันสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น สนับสนุนเครื่องสีข้าว ช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าจำหน่าย

สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวล่าสุด ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2568 ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ในช่วง 15,200–16,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,200–8,700 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,100–6,800 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียว 8,000–8,700 บาทต่อตัน

 

โรงสีแห่ร่วมชดเชยดอกเบี้ยข้าวนาปี พาณิชย์ ตั้งเป้าดึงสต๊อก 4 ล้านตันพยุงราคา

 

โดยถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นในทิศทางนโยบายข้าวของรัฐบาล ซึ่งเมื่อมาตรการต่าง ๆ เริ่มขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบ จะยิ่งสร้างแรงหนุนให้ราคาข้าวปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง