บทเรียนราคาแพงจากภัยร้าย "เอเลียนสปีชีส์" ที่ต้องรู้ความจริง

08 พ.ย. 2568 | 08:07 น.
อัปเดตล่าสุด :08 พ.ย. 2568 | 08:22 น.

นักวิชาการชำแหละการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น “เอเลียนสปีชีส์” อย่างปลาหมอคางดำ จี้รัฐเร่งอุดช่องโหว่กฎหมาย-ปลุกจิตสำนึกคนไทยถึงบทเรียนราคาแพง ที่ต้องร่วมพลิกวิกฤตเป็นโอกาส

KEY

POINTS

  • ปัญหาหลักของเอเลียนสปีชีส์เกิดจากการลักลอบนำเข้ามาอย่างยาวนาน เนื่องจากกฎหมายมีช่องโหว่และการบังคับใช้ที่อ่อนแอ
  • ความจริงคือ เมื่อเอเลียนสปีชีส์ระบาดแล้วแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดให้หมดสิ้น แนวทางแก้ไข คือ การนำมาใช้ประโยชน์ เช่น บริโภคเป็นแหล่งโปรตีน
  • เรียกร้องให้ภาครัฐแก้ไขกฎหมายให้เข้มงวด เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า และประชาชนต้องมีจิตสำนึกไม่ปล่อยสัตว์ต่างถิ่นลงแหล่งน้ำธรรมชาติ

ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตีแผ่ความจริงและถอดบทเรียนวิกฤตการระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่น (เอเลียนสปีชีส์) อย่าง "ปลาหมอคางดำ"  โดยชี้ชัดว่า ปัญหาต้นตอที่สำคัญหนีไม่พ้น "การลักลอบนำเข้า" ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนับสิบๆ ปี แม้ปัจจุบันจะมีการควบคุม แต่ก็ยังพบ "ช่องโหว่มากมาย" ที่ทำให้ขบวนการลักลอบยังคงสามารถนำเข้าสัตว์น้ำเหล่านี้ได้ในหลายช่องทาง

"ขอยกตัวอย่างปัญหาปลาหมอคางดำที่ระบาดหนักอยู่ในขณะนี้มีหลายบริษัทที่นำเข้ามา ข้อเท็จจริงก็คือ ปัญหาการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น (เอเลียนสปีชีส์) เกิดขึ้นและเรื้อรังมานานมากแล้ว ต้องฝากข้อเรียกร้องถึงภาครัฐให้เร่งดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ เพื่อปิดช่องโหว่การลักลอบนำเข้าอย่างเป็นรูปธรรม” ศ.ดร.สุชนา กล่าว 

กฎหมายไทยไม่เข้มงวดในเรื่องการลักลอบนำเข้า ยังอ่อนแรงเมื่อเทียบกับประเทศที่เคร่งครัดอย่าง ออสเตรเลีย ที่แม้แต่ผู้โดยสารยังไม่สามารถนำผลไม้สดติดเข้าประเทศได้ ความเข้มแข็งของกฎเกณฑ์จึงเป็นปราการด่านแรก ที่จะช่วยลดความเสี่ยง ไม่ให้ปัญหาบานปลายเหมือนทุกวันนี้ 

นอกจากนี้ ศ.ดร.สุชนา ยังได้เรียกร้องไปยังภาคประชาชนให้มี "จิตสำนึกและตระหนัก" ตั้งแต่แรกในเรื่องของการลักลอบนำสัตว์น้ำต่างถิ่นเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากร้านใดไม่สามารถจำหน่ายได้ตามที่คาดหวัง และนำไปปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศอย่างใหญ่หลวง 

โดยประสบการณ์กว่า 20 ปีของ ดร.สุชนา พบว่า ไม่เคยมีประเทศไหนในโลก ที่สามารถกำจัด“เอเลี่ยนสปีชีส์” ที่ระบาดแล้วให้หมดสิ้นได้ เนื่องจากเมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งหลุดรอดเข้ามาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มันก็จะเติบโต ขยายพันธุ์ และปรับตัวอย่างรวดเร็ว เกินกว่าจะจัดการให้หมดไปได้ นี่คือความจริงที่จำต้องยอมรับ 

ไม่ต้องเสียเงินกำจัดแต่เปลี่ยนเป็นแหล่งโปรตีน

สำหรับทางออกที่จะพลิกวิกฤให้เป็นโอกาส คือการ "นำมาใช้ประโยชน์" เนื่องจากปลาเหล่านี้ มันก็คือปลาชนิดหนึ่ง ถือเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่า ซึ่งจะดีกว่าการใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อกำจัดแต่ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร 

                              บทเรียนราคาแพงจากภัยร้าย "เอเลียนสปีชีส์" ที่ต้องรู้ความจริง

ยกตัวอย่างหลายประเทศเลือกที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์ต่างถิ่น และหาทางใช้ประโยชน์จากมันแทน เช่น สหรัฐ ที่เคยเผชิญกับ ปลาสิงโตจากไทย ก็ใช้วิธีควบคุมด้วยการส่งเสริมการจับ และบริโภคปลาสิงโต รวมถึงจัดแข่งขันตกปลา เรียกว่าใช้วัฒนธรรมการบริโภคมาเป็นเครื่องมือควบคุม และอาจเป็นแนวทางที่นำมาปรับใช้กับปลาต่างถิ่นในบ้านเราได้เช่นกัน

บทเรียนครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องตอกย้ำว่า หากไม่สามารถอุดช่องว่างเรื่องการลักลอบการนำเข้าทางกฎหมาย และปลุกจิตสำนึกความรับผิดชอบของทั้งผู้นำเข้าและผู้เลี้ยง ปัญหาเอเลียนสปีชีส์ก็จะยังคงเป็นภัยคุกคามที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  

ภาครัฐจึงมีบทบาทสำคัญที่สุด ที่จะหยุดปัญหาการลักลอบนำเข้า ยุติปัญหาการแพร่ระบาดของสัตว์ต่างถิ่นได้ตั้งแต่ต้นทาง