KEY
POINTS
ประเทศไทยติดอันดับต้นๆ เป็นผู้ส่งออก “ปลาสวยงาม” หรือ “ปลาแปลก” ที่วันนี้ ปลาที่เคยเป็นที่ต้องการของตลาดได้กลายเป็นผู้รุกรานระบบนิเวศในเขื่อน, บ่อเพาะเลี้ยง และ ลุ่มน้ำชุมชน โดยไม่สามารถสืบสวนไปถึงต้นทางแหล่งที่มาได้
ความล้มเหลวนี้ชี้ชัดว่า หากรัฐไม่ใช้ข้อมูลโปร่งใส และ หลักการวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือ จะเกิด “วงจรปลาต่างถิ่น” และ "ปลาเถื่อน" ที่เข้ามาทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2561 เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ต้องขออนุญาตนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง พ.ศ.2561 คือ ปลาหมอคางดำ ปลาหมอมายัน และ ปลาหมอบัตเตอร์ แต่ในความเป็นจริง นอกจากปลาหมอคางดำ ยังพบการแพร่ระบาดของปลาต่างถิ่นหลายชนิด เช่น ปลาบัตเตอร์, ปลาช่อนอเมซอน, ปลาซัคเกอร์ และยังมีปลาต้องห้ามอื่นๆ ที่พบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
ช่องว่างนี้ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์, และขาดการตรวจสอบย้อนกลับ ตลอดจนการกำกับดูแลอนุญาตนำเข้า “ปลาสวยงาม” โดยไม่ประเมินความเสี่ยงและไม่บังคับใช้ระบบ traceability ส่งผลให้ไม่มีความตระหนักรู้ เกิดการลักลอบและการแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
ตลาดปลาสวยงามสร้างรายได้สูง แต่ช่องโหว่ของระบบกำกับดูแลทำให้ ผู้ค้า และ ฟาร์ม สามารถลักลอบนำเข้าปลาชนิดต่างๆ อย่างไม่จำกัด เมื่อความนิยมในปลาชนิดนั้นลดลง หรือไม่ทำเงินอีกต่อไป หรือโดนจับตาเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ปลาที่เพาะเลี้ยงเพื่อจำหน่ายในตลาดปลาสวยงาม ถูกแอบปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างไม่รับผิดชอบ
นอกจากนี้ ยังมีการออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (เพิ่มเติม) เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นหายาก หรือ ป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ ซึ่งประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิด อาทิ ปลาเทราท์สายรุ้ง ปลากะพงปากกว้าง ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม GMO LMO ทุกชนิด เป็นต้น
“ปลาหมอคางดำ” เป็นตัวอย่างชัดเจนของวงจรนี้ ที่มาจากการลักลอบไม่ปรากฏการรายงานนำเข้า สู่ฟาร์ม สู่ธรรมชาติ การปล่อยโดยไร้การควบคุม หรือ ประเมินทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ปลาชนิดนี้ส่งผลกระทบในแหล่งน้ำ การหยุดวงจรนี้จึงจำเป็นต้องใช้ ข้อมูลโปร่งใส และหลักการวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ต้นทาง
รายงานการส่งออก “ปลาหมอคางดำ” โดย 11 บริษัท แต่ไม่มีบันทึกแจ้งการนำเข้า แสดงให้เห็นปัญหาด้านความโปร่งใส ข้อมูลยังไม่ได้เปิดเผยแหล่งที่มาของปลา แหล่งเพาะเลี้ยง เอกสารขออนุญาต, หนังสือรับรองชนิดพันธุ์ ตลอดจนข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับ
การไม่เปิดเผยข้อมูล ทำให้หน่วยงานอิสระ และนักวิชาการไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ การหยุดวงจรปลาต่างถิ่นจึงต้องเริ่มจากการเปิดเผยข้อมูลนำเข้า–ส่งออกอย่างโปร่งใส พร้อมระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การระบุชนิดพันธุ์ปลาต้องใช้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น DNA barcoding หรือ Whole Genome Sequencing แต่การตรวจสอบปลาหมอคางดำที่ผ่านมา ยังไม่ครบถ้วนและคลุมเครือ
การจัดตั้ง ศูนย์พิสูจน์ DNA สัตว์น้ำต่างถิ่น ภายใต้การกำกับร่วมของรัฐ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย จะมีส่วนช่วยสร้างมาตรฐานที่เชื่อถือได้ และน่าจะเป็นอีกแนวทางที่สามารถ ยุติวงจรปลาต่างถิ่น ได้ตั้งแต่ต้นทาง
ปัญหา “ปลาหมอคางดำ” จึงเป็นสัญญาณเตือนระบบการกำกับดูแล ที่ยังขาดการเปิดเผยข้อมูลและการตรวจสอบอย่างโปร่งใส และการไม่นำหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ทวนสอบ ทำให้การแก้ปัญหาทำได้แต่ปลายทาง
“หยุดวงจรปลาต่างถิ่นจากแหล่งค้า–ฟาร์ม–ธรรมชาติ ด้วยข้อมูลโปร่งใส และหลักการวิทยาศาสตร์” เป็นแนวทางปฏิบัติที่ต้องเกิดขึ้นจริง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติก่อนเกิดความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้