บทเรียน “ปลาต้องห้าม” กับเส้นแบ่งนำเข้า-ลักลอบ มาตรฐานที่ไม่เท่ากัน

27 ต.ค. 2568 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ต.ค. 2568 | 10:22 น.

กรณีปลาหมอคางดำสะท้อนถึงความอ่อนแอของระบบกำกับดูแลการนำเข้าสัตว์น้ำของไทย การลักลอบนำเข้าปลาต้องห้ามมีสูง เกิดมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้นำเข้าถูกก.ม. กับการลักลอบนำเข้าที่ไม่ถูกจัดการ

KEY

POINTS

  • กรณีปลาหมอคางดำสะท้อนถึงความอ่อนแอของระบบกำกับดูแลการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien species) ของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
  • ปัญหาการลักลอบนำเข้าปลาต้องห้ามมีปริมาณสูงกว่าการนำเข้าที่ถูกกฎหมาย โดยใช้วิธีสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่หละหลวม
  • เกิดการใช้มาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้นำเข้าที่ทำตามกฎหมายซึ่งถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด กับขบวนการลักลอบนำเข้าที่ไม่ถูกจัดการอย่างจริงจัง

กรณี “ปลาหมอคางดำ” เป็นอีกประเด็นปัญหาที่สะท้อนความอ่อนแอของระบบการกำกับดูแลการนำเข้าสัตว์น้ำของไทยอย่างชัดเจน จนต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรม ให้ศาลตรวจสอบหลักฐานและพยาน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ในขณะที่สังคมกำลังจับตามองคดีนี้ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย สิ่งที่ควรเกิดขึ้นควบคู่กัน คือ การตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล ไม่ผลีผลามตัดสิน หรือปล่อยให้กระแสชี้นำโดยปราศจากข้อมูลที่รอบด้าน เพราะท้ายที่สุด ความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องมีผู้รับผิดชอบ และรัฐต้องเรียนรู้จากบทเรียนนี้เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สิ่งที่ยังไม่ถูกพูดถึงอย่างจริงจัง คือ มาตรฐานการห้ามนำเข้าสัตว์น้ำบางชนิด โดยเฉพาะปลาสวยงามที่จัดอยู่ในกลุ่ม “ปลาต้องห้าม” หรือ “ปลาต่างถิ่น” (Alien species) อาทิ ปลาหมอมายัน ปลาหมอบัตเตอร์ ปลาซัคเกอร์ หรือปลาช่อนอเมซอน ซึ่งพบการระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วประเทศ

แม้ปัญหานี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2548 แต่กลับไม่มีระบบติดตามต้นตอการนำเข้าอย่างเป็นระบบ และไม่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งที่ปลากลุ่มนี้สามารถสร้างความเสียหายต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นและเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างรุนแรง

ข้อมูลจากแหล่งข่าวในวงการปลาสวยงามอ้างว่า การนำเข้าปลาสวยงามที่ดำเนินการถูกกฎหมาย มีจำนวนน้อยกว่าปริมาณที่การลักลอบนำเข้า โดยไม่ผ่านการตรวจสอบของภาครัฐ ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ของระบบกำกับดูแลที่ไม่เข้มงวดพอ 

การสำแดงเท็จเป็นปลาชนิดอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีบริษัทชิปปิ้งเป็นผู้ดำเนินการแทนผู้นำเข้าที่แท้จริง ทำให้ปลาต้องห้ามสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ตลาดได้ง่าย และเมื่อหมดประโยชน์ ก็ถูกปล่อยทิ้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ แทนที่จะกำจัดตามหลักวิชาการ

กรณีปลาหมอคางดำกลับกลายเป็นข้อยกเว้นที่น่าสนใจ เพราะผู้นำเข้ามีตัวตนชัดเจน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และเมื่อไม่สามารถเดินหน้าวิจัยได้ ก็เลือกทำลายปลาตามหลักวิชาการ แต่กลับถูกจับตามองจากภาคประชาสังคมและสื่อสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น

                             บทเรียน “ปลาต้องห้าม” กับเส้นแบ่งนำเข้า-ลักลอบ มาตรฐานที่ไม่เท่ากัน

แม้ยังไม่มีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้การรับรองจากสถาบันสากล แต่การตั้งข้อสงสัยโดยปราศจากข้อมูล DNA ที่เปรียบเทียบระหว่างปลาที่นำเข้าและปลาที่แพร่ระบาด ก็อาจนำไปสู่การตัดสินที่ไม่เป็นธรรม และสะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนากระบวนการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ให้รอบด้านมากขึ้น

เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการของศาล สิ่งที่สังคมควรเรียกร้องไม่ใช่เพียงความยุติธรรมในคดีนี้ แต่คือ การบูรณาการของหน่วยงานรัฐ เพื่อสร้างระบบตรวจสอบที่เข้มงวด โปร่งใส แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผ่านมา

การสื่อสารกับประชาชนก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับปลาต่างถิ่น เช่น ปลาหมอคางดำ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนปลาทั่วไป และสามารถอยู่ร่วมกับคนได้ หากมีระบบควบคุมที่ดี เช่นเดียวกับกรณีตั๊กแตนปาทังกา หรือหอยเชอรี่ ที่เคยเป็นปัญหา แต่วันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไทย