อย่ามองแค่ปลาหมอคางดำ! ‘หมอมายัน–หมอบัตเตอร์’ ภัยเงียบตัวจริงที่กำลังกลืนระบบนิเวศไทย

24 ต.ค. 2568 | 08:39 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2568 | 08:56 น.

“ปลาหมอคางดำ” กลายเป็นที่รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยเป็นปลาต่างถิ่นรุกราน หากแต่ในสายน้ำอีกหลายสายยังมีสัตว์ต่างถิ่นที่กำลังเข้าแทนที่สัตว์น้ำท้องถิ่นของไทย

KEY

POINTS

  • ปลาหมอมายันและปลาหมอบัตเตอร์เป็นเอเลียนสปีชีส์ที่รุกรานระบบนิเวศไทยอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับปลาหมอคางดำ แต่กลับถูกมองข้ามและไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
  • ปลาทั้งสองชนิดมีนิสัยก้าวร้าว กินลูกปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหาร ทำให้จำนวนปลาพื้นถิ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทยได้ดี
  • การแพร่ระบาดของปลาทั้งสองชนิดคาดว่าเกิดจากการลักลอบนำเข้ามาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามหรือหลุดรอดจากฟาร์มเพาะเลี้ยง ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมายของภาครัฐ

ทั้งนี้มีทั้ง “ปลาหมอบัตเตอร์” และ “ปลาหมอมายัน” แต่แทบไม่ถูกกล่าวถึงจากทั้งภาครัฐ และนักเคลื่อนไหวที่ต่างเกาะติดประเด็นปลาหมอคางดำ

หากสืบประวัติ “ปลาหมอมายัน” จะพบว่ามีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำแอตแลนติกตอนกลางของอเมริกากลาง เช่น เม็กซิโก เบลีซ และฮอนดูรัส มีลักษณะพิเศษที่สามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำกร่อย มีนิสัยหวงถิ่น กินลูกปลา และสัตว์ขนาดเล็ก สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศได้อย่างใหญ่หลวง

กรมประมง รายงานการพบปลาหมอมายันในหลายจังหวัดทางภาคกลางและภาคใต้ อาทิ สมุทรสงคราม นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยเฉพาะในแหล่งน้ำที่เชื่อมต่อไปยังทะเลได้ และแม้ไม่มีความชัดเจนว่าปลาชนิดนี้เข้ามาในไทยได้อย่างไร แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าเกิดจากการลักลอบนำเข้ามาเลี้ยงในระบบปลาสวยงาม หรือหลุดจากฟาร์มเพาะเลี้ยงทดลอง เพราะไม่มีข้อมูลการขออนุญาตนำเข้าตามระบบของกรมประมง

ปลาหมอมายัน

พูดง่าย ๆ คือมันไม่เคยมีอยู่ในบัญชี “ปลานำเข้าอย่างถูกต้อง” แต่กลับพบในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย

สำหรับ “ปลาหมอบัตเตอร์” มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก แต่กลับพบการระบาดในหลายแหล่งน้ำของไทย โดยเฉพาะ เขื่อนสิริกิติ์ อุตรดิตถ์ และ เขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี ข้อมูลกรมประมงระบุว่า ปลาชนิดนี้มีนิสัยดุร้าย กินได้ทุกอย่าง ทั้งไข่ปลา ลูกปลา และสัตว์น้ำขนาดเล็ก ทำให้จำนวนปลาพื้นถิ่นหลายชนิดลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ปลาแรดและปลากราย

ปลาหมอบัตเตอร์

ผู้คนในพื้นที่ให้ข้อมูลว่าการระบาดอาจมีต้นทางจากกระชังเลี้ยงปลา ที่มีผู้นำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต บางรายอ้างว่า “เลี้ยงเพื่อขายเป็นปลาสวยงาม” ก่อนที่จะหลุดออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

แม้ว่าปลาหมอบัตเตอร์ จะอยู่ในรายชื่อ “สัตว์น้ำห้ามนำเข้า ส่งออก เพาะเลี้ยง” ตามกฎกระทรวงปี 2561 แต่ในทางปฏิบัติ การกลับไม่มีการบังคับที่เข้มแข็งเพียงพอ ทุกวันนี้จึงยังคงมีรายงานการจับปลานี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งตอกย้ำว่า ระบบควบคุมสัตว์น้ำต่างถิ่นของไทยยังมีช่องว่าง ทั้งในด้านการตรวจสอบ การอนุญาต และการกำกับการเพาะเลี้ยงจริงในพื้นที่

 เมื่อเทียบกรณีปลาหมอคางดำกับปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ จะเห็นชัดเจนว่า ปลาหมอบัตเตอร์และปลาหมอมายัน ถูกปล่อยให้ดำเนินไปโดยไม่มีใครตั้งคำถาม ทั้งที่มีลักษณะ “รุกราน” ไม่ต่างกัน ทั้งความสามารถในการปรับตัวสูง แพร่พันธุ์รวดเร็ว และกินได้แทบทุกอย่าง ต่างกับหมอคางดำที่มีรายงานและการติดตามตรวจสอบจนเป็นประเด็นในสังคม

จนเกิดข้อสงสัยว่า เพราะเหตุใดการลักลอบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำห้ามนำเข้า จึงยังเกิดขึ้นซ้ำๆ ทั้งที่มีบทลงโทษชัดเจน และมีคำถามตัวโตๆว่า ภาครัฐมีระบบตรวจสอบจริงจังเพียงใดต่อ “โครงการที่ได้รับอนุญาต” หรือการ “ส่งออกสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยง” ทำไมกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับปลาหมอคางดำ จึงไม่หันมาสนใจต้นตอของปลา 2 ชนิดนี้

ข้อสงสัยเหล่านี้หากยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ก็เชื่อว่าปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นในไทยย่อมไม่มีที่สิ้นสุด และยิ่งมองไม่เห็นภาพรวมของระบบควบคุมทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่การลักลอบนำเข้า การเพาะเลี้ยง ไปจนถึงการส่งออกหรือหลุดสู่ธรรมชาติ

ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาและมองให้รอบด้าน เลิกพุ่งเป้าเพียงปลาหมอคางดำ แต่ต้องเลือกมองปัญหาให้รอบด้าน เพราะหากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ปลาทั้ง 2 ชนิดก็ไม่ต่างจาก “ภัยเงียบ” ที่ค่อย ๆ เข้ามาแทนที่ปลาพื้นถิ่นในสายน้ำไทย จนกลายเป็นความสูญเสียของระบบนิเวศน้ำไทย ที่อาจสร้างผลกระทบร้ายแรงยิ่งกว่าวันนี้

บทความโดย  : พศิน ชลชาติ ผู้ชำนาญการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ