KEY
POINTS
ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวถึง MOU ระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับความร่วมมือด้าน 'แร่สำคัญและแร่หายาก' ว่าแม้ยังไม่ใช่ข้อตกลงผูกพันทางกฎหมาย แต่สะท้อนถึงทิศทางเชิงนโยบายที่อาจมีผลในอนาคต โดยมีข้อกังวล 4 ประการหลัก
“การลงนามครั้งนี้ขาดธรรมาภิบาลอย่างชัดเจน ประชาชนไม่รู้มาก่อนว่ารัฐบาลจะไปทำ MOU กับสหรัฐฯ และสิ่งที่น่าตกใจคือ เราทราบเรื่องนี้จากเว็บไซต์ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ ไม่ใช่จากรัฐบาลไทยเอง” — ดร.สืบสกุล กิจนุกร
เขาระบุว่า ไม่ปรากฏชัดว่ามีการนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาด้านความโปร่งใสในกระบวนการตัดสินใจของรัฐไทย
ดร.สืบสกุลอธิบายว่า ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาวมีแร่สำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะ 'แร่สัมพันธ์' ซึ่งมีมากกว่า 60 ชนิด และ “แร่หายาก (Rare Earth)” ที่เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ปัจจุบันไทยนำเข้าแร่เหล่านี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และระนอง โดยเฉพาะแร่ดีบุก แมงกานีส และพลังงานสะอาดบางประเภท ส่วนแร่หายากส่วนใหญ่ไทยนำเข้าจากมาเลเซีย
“จึงไม่แปลกที่สหรัฐฯ ทำ MOU ทั้งกับมาเลเซียและไทย เพราะเขาต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้สมบูรณ์ โดยใช้ไทยเป็น ‘ทางผ่าน’ ของแร่จากเมียนมา” — ดร.สืบสกุล กิจนุกร
เขามองว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจมากนัก เพราะสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการนำเข้าและแปรรูปแร่ ขณะที่ไทยอาจได้เพียงบทบาท 'ผู้รับจ้างผลิต' หรือ 'ประเทศทางผ่าน' เท่านั้น เนื่องจากยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการสกัดแร่
ดร.สืบสกุลเผยข้อมูลจากงานวิจัยว่า พื้นที่ชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทย โดยเฉพาะแนวจังหวัดเชียงรายถึงระนอง มีศักยภาพสูงในการลำเลียงแร่จากเมียนมาเข้าสู่ระบบการค้า โดยปัจจุบันพบจุดขุดแร่จำนวนมากในรัฐฉาน รัฐคะฉิ่น และบริเวณแม่น้ำกก–แม่สาย ซึ่งบางส่วนก่อให้เกิดมลพิษข้ามพรมแดนเข้าสู่แม่น้ำในไทย
“เส้นชายแดนยาวกว่า 2,000 กิโลเมตรเต็มไปด้วยกิจกรรมเหมืองแร่ของกองกำลังชาติพันธุ์ในเมียนมา ซึ่งหลายแห่งไม่มีมาตรการควบคุมสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้เกิดสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่สาย และแม่น้ำโขง” — ดร.สืบสกุล กิจนุกร
เขายังระบุว่า ผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ เคยเดินทางเยือนรัฐฉิ่นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสำรวจศักยภาพด้านแร่ ขณะเดียวกันอินเดียก็ให้ความสนใจพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน แสดงให้เห็นว่า “สงครามแร่” ในภูมิภาคนี้เริ่มทวีความเข้มข้นขึ้น
แม้การแปรรูปแร่ในไทยอาจไม่ใช่เหมืองขุดโดยตรง แต่ดร.สืบสกุลเตือนว่า กระบวนการสกัดและแปรรูปแร่หายากยังคงมีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมสูง และใน MOU ที่ลงนามไม่มีข้อกำหนดด้าน ESG (Environment, Social, Governance) หรือกลไกตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน
“ใน MOU ไม่มีการระบุเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย ทั้งที่การทำเหมืองและสกัดแร่ต้องคำนึงถึง ESG เป็นขั้นต่ำสุด การขาดหลักประกันนี้คือช่องโหว่สำคัญที่อาจสร้างผลกระทบต่อชุมชนชายแดนในอนาคต” — ดร.สืบสกุล กิจนุกร
เขาระบุว่า แม้รัฐบาลไทยจะยืนยันว่าสหรัฐฯ มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสูง แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันใด ๆ หากเกิดการตั้งโรงงานแปรรูปในไทยและนำเข้าแร่จากเมียนมาเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “ฐานสกัดแร่ที่ก่อมลพิษ” โดยไม่ตั้งใจ
ดร.สืบสกุลย้ำว่า รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูล MOU ให้ประชาชนรับรู้ และจัดทำแผนบริหารจัดการแร่สำคัญอย่างโปร่งใส โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและชุมชน พร้อมวางแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศแทนการเป็นเพียงทางผ่านของสหรัฐฯ
“ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าความร่วมมือ ต้องมีหลักประกันด้านธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม และสิทธิชุมชน มิฉะนั้นเราจะได้แค่เศษผลประโยชน์จากทรัพยากรของเพื่อนบ้าน แต่ต้องรับความเสี่ยงมลพิษไว้เอง” — ดร.สืบสกุล กิจนุกร