KEY
POINTS
ครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,369 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุนรวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 132
โดยประเทศที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ตามลำดับ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI / บีโอไอ) ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” โดยคาดว่าทั้งปี 2568 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยรวมทั้งต่างชาติและคนไทยในแง่มูลค่าเงินลงทุนจะไม่ตํ่ากว่าในปี 2567 (มีมูลค่าขอรับการส่งเสริม 1.13 ล้านล้านบาท) ซึ่งในครึ่งแรกปีนี้มีโครงการขอรับการส่งเสริมแล้ว 1.05 ล้านล้านบาท ขณะที่การออกบัตรส่งเสริมการลงทุนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้กับการลงทุนจริงมากที่สุด (จะทยอยลงทุนจริงภายใน 1-3 ปี) ในครึ่งแรกของปี 2568 บีโอไอมีการออกบัตรส่งเสริมแล้วจำนวน 1,310 โครงการ เงินลงทุนรวม 652,903 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งจะมีอายุการบริหารประเทศที่มีอำนาจเต็มเพียง 4 เดือนหลังมีการแถลงนโยบาย มองว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของรายใหม่ และรายเก่าในการขยายกิจการ หรือขยายการลงทุน เนื่องด้วยการลงทุนในอุตสาห กรรมต่าง ๆ การลงทุนเป็นการวางแผน ระยะยาว นักลงทุนจะมองที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศเป็นหลัก มากกว่าความผันผวนทางการเมืองระยะสั้น
โดยสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญ เช่น ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน บุคลากร สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ ต้นทุนการประกอบธุรกิจ สิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเชื่อว่าทุกรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
“การส่งเสริมการลงทุนของ BOI เป็นกลไกที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า สิทธิประโยชน์และกระบวนการพิจารณาจะไม่สะดุดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล”
สำหรับในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บีโอไอจะเดินหน้าจัดกิจกรรมเจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ชี้ทิศทางและโอกาสการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยมีแผนจัดกิจกรรมทั้งการโรดโชว์ต่างประเทศในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้
ส่วนกิจกรรมในประเทศ มีแผนจัดงานให้นักลงทุนพบกับรัฐบาลใหม่ เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาลในเร็วๆ นี้
ต่อคำถามที่ว่า มาตรการปรับขึ้นภาษี (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐอเมริกา มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาขอรับการส่งเสริมในประเทศไทยหรือไม่ อย่างไรนั้น นายนฤตม์ กล่าวว่า อัตราภาษี Reciprocal Tariffs ของไทยที่ 19% อยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนเป็นการวางแผนระยะยาว อัตราภาษีเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัย
“อย่างกรณีญี่ปุ่น ฐานการผลิตของญี่ปุ่นในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งสูง ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีระบบซัพพลายเชนครบวงจร และมีประสิทธิภาพในระดับต้นๆ ของโลก นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาค รวมทั้งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก มิใช่เพียงตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น”
ส่วนกรณีที่สหรัฐอเมริกาจับจ้องการลงทุนของจีนในไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ และไม่ไว้ใจในเรื่องสินค้าสวมสิทธิสินค้าไทยส่งออก จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนจีนที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มหรือไม่นั้น เนื่องจากอัตรา Reciprocal Tariffs ของไทย (19%) ยังอยู่ในระดับตํ่ากว่าจีนมาก ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่นักลงทุนจีนให้ความสำคัญ
ในเรื่องสินค้าสวมสิทธิ (Transshipment) บีโอไอได้ทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด เช่น กำหนดกระบวนการผลิตที่มีสาระสำคัญ การเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า
โดยหากบริษัทได้รับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand : MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด (การผลิต BEV ร้อยละ 40 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด, PHEV ร้อยละ 45, ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 และเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 40) จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี รวมถึงยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการจัดหาชิ้นส่วนในประเทศ