วิเคราะห์ MOU ไทย-สหรัฐ 'แรร์เอิร์ท-แร่หายาก' จุดเสี่ยงที่ไทยต้องระวัง

29 ต.ค. 2568 | 10:31 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ต.ค. 2568 | 10:49 น.

เปิดบทความ นายกสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิเคราะห์ปม MOU "แร่แรร์เอิร์ท-แร่หายาก" ระหว่างไทย-สหรัฐฯ แนะต้องระวัง 'กากกัมมันตรังสี' และเกมการเมืองโลก

KEY

POINTS

  • แร่หายาก (Rare Earths) เป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเซมิคอนดักเตอร์
  • สหรัฐอเมริกาต้องการกระจายความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานแร่หายากที่พึ่งพาจีนเป็นหลัก จึงลงนาม MOU กับไทยเพื่อส่งเสริมให้เป็นฐานการผลิตและแปรรูปทางเลือก
  • แม้ไทยจะยังไม่มีเหมืองแร่หายากเชิงพาณิชย์ แต่มีบทบาทในการนำเข้าแร่มาแปรรูปขั้นกลาง และตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการแปรรูปขั้นสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรม EV
  • ความท้าทายสำคัญคือการจัดการกากแร่กัมมันตรังสี โดย MOU ที่ลงนามเป็นเพียงการแสดงเจตจำนงและไม่ผูกพันทางกฎหมาย ทำให้ไทยยังคงอำนาจในการกำหนดเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด

สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้การนำของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. บุญส่ง ไข่เกษ นายกสภาวิชาชีพฯ เขียนบทความเสนอข้อมูลแร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements) ที่กำลังพูดถึงในสังคมไทยเป็นวงกว้าง

โดยบทความดังกล่าว อ้างอิงข้อเขียนของ ดร. สมหมาย เตชวาล ประธานคณะอนุกรรมการวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยา และอดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย โดยระบุว่า 

1. แร่ธาตุหายากคืออะไร และประวัติการทำเหมืองในไทย 

แร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements: REEs) ประกอบด้วยกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด ซึ่งถือเป็น "กระดูกสันหลัง" ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เนื่องจากคุณสมบัติทางแม่เหล็กและอิเล็กทรอนิกส์ที่โดดเด่น ทำให้เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (เช่น มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม) เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงระบบป้องกันประเทศ 

แร่ธาตุหายาก ถูกจัดเป็น "แร่วิกฤต" (Critical Minerals) เนื่องจากมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และมีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในการสกัดและการแปรรูป 

ดร. สมหมาย เตชวาล

ประเทศไทย เคยมีการผลิตแร่ธาตุหายาก ในช่วงที่อุตสาหกรรมดีบุกรุ่งเรือง (ประมาณ พ.ศ. 2500–2530) โดยเฉพาะในภาคใต้ อย่างไรก็ตาม การผลิตแร่ธาตุหายาก ในขณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำเหมืองโดยตรงเพื่อแร่ธาตุหายาก แต่เกิดในลักษณะของ "แร่พลอยได้" (by-product) ที่ปะปนมากับแร่ดีบุกและแร่หนักอื่นๆ เช่น แร่โมนาไซต์ (Monazite) และซีโนไทม์ ซึ่งเป็นแร่ที่มีธาตุหายาก (REEs) ปนอยู่ อาทิ ซีเรียม (Ce), แลนทานัม (La), อิตเทรียม (Y) รวมถึงธาตุทอเรียม (Th) ซึ่งเป็นกัมมันตรังสีอ่อนๆ 

หลังจากการล่มสลายของราคาดีบุกและมีการปิดเหมืองจำนวนมากในช่วงปี 2528–2530 การผลิตแร่พลอยได้เหล่านี้ก็หยุดลงตามไปด้วย รัฐบาลไทยได้เริ่มมีมาตรการเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและรังสีมากขึ้น เนื่องจากความอ่อนไหวในการจัดการกากแร่ที่ปนเปื้อนทอเรียม ปัจจุบัน แร่ธาตุหายากในประเทศไทยจึงถูกจัดอยู่ใน "บัญชีควบคุม" ต้องมีการขออนุญาตสำหรับการครอบครอง การขนย้าย และการส่งออก

2. สถานะการสำรวจ ปริมาณสำรอง และการวิจัยในปัจจุบัน

ในด้านปริมาณสำรอง ประเทศไทยมีปริมาณสำรองแร่ธาตุหายากในรูปออกไซด์ (REO) บันทึกไว้ประมาณ 4,500 ตัน ซึ่งทำให้ไทยติดอันดับ 12 ของโลกในฐานข้อมูลบางแหล่ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีอยู่ในเชิงธรณีวิทยาชี้ว่า แร่ธาตุหายากในไทยมักพบในลักษณะที่ กระจัดกระจายและมีความเข้มข้นต่ำ (low-grade) เมื่อเทียบกับแหล่งผลิตขนาดใหญ่ของโลก 

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยืนยันว่า ประเทศไทยยังไม่พบแหล่งแร่ธาตุหายากที่มีความคุ้มค่าในการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ เพื่อลงทุนขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ดังนั้น ณ เวลานี้ ประเทศไทยจึงยังไม่มี "ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว" (Proven Reserves) อย่างเป็นทางการในระดับสากล มีเพียงข้อมูล "ศักยภาพเบื้องต้น" ที่ได้จากการสำรวจและงานวิจัยของกรมทรัพยากรธรณีและสถาบันวิชาการในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ภาคตะวันตก (ตาก, กาญจนบุรี, เพชรบุรี) และภาคใต้ (พัทลุง, ตรัง), การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงยังคงจำกัดอยู่ในขั้นการสำรวจและวิจัยเชิงวิชาการ

3. สถานะการนำเข้า-ส่งออกและการแปรรูปในประเทศ

แม้จะไม่มีการทำเหมืองแร่ธาตุหายากเชิงพาณิชย์ในประเทศ แต่ประเทศไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานระดับกลางน้ำ ข้อเท็จจริงคือ ไทยเป็นประเทศที่ นำเข้าแร่เข้มข้น (Concentrates) (ส่วนใหญ่จากออสเตรเลีย) มาดำเนินการ "แต่งแร่" (Upgrading) เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของธาตุหายาก ก่อนที่จะ ส่งออก ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีโรงงานแปรรูปวัตถุดิบนำเข้าเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ผงโลหะแม่เหล็ก (Rare-Earth Magnetic Powder) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังขาดเทคโนโลยีและโรงงานสกัด/ถลุงแร่ (Refining/Separation Plant) ขั้นสูงที่สามารถแยกธาตุหายากให้ออกมาเป็นธาตุบริสุทธิ์จากวัตถุดิบต้นน้ำได้โดยตรง 

4. แนวทางการทำเหมือง แปรรูป หรือถลุงแร่ในอนาคต

เนื่องจากข้อจำกัดด้านธรณีวิทยาและความเข้มข้นของแร่ในประเทศ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับธาตุทอเรียม แนวทางที่เหมาะสมและมีศักยภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทยคือการมุ่งเน้นการเป็น "ศูนย์กลางห่วงโซ่ธาตุหายากของภูมิภาค (ASEAN Rare Earth Hub)" โดยเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม กลางน้ำและปลายน้ำ ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปขั้นสูง (Separation/Refining) และการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (Permanent Magnet) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 

เงื่อนไขสำคัญที่สุด สำหรับการลงทุนและการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ คือ การที่โครงการใดๆ ที่เกิดขึ้นจะต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของไทยอย่างครบถ้วน (เช่น EIA และ EHIA) ทั้งนี้ MOU ที่ลงนามกับสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงการแสดงเจตจำนงในการส่งเสริมความร่วมมือและ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีอำนาจอธิปไตยในการกำหนดเงื่อนไขการลงทุน

5. ข้อกังวลและยุทธศาสตร์รับมือ MOU ไทย-สหรัฐฯ 

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่วิกฤตไทย-สหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2568 เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ กระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน ออกจากการพึ่งพาการแปรรูปแร่ธาตุหายากของจีน ซึ่งครองตลาดโลกกว่า 91% ในขั้นตอนการแยกธาตุ สำหรับประเทศไทย ความร่วมมือนี้ถือเป็น "หมุดหมายใหม่" ที่สามารถดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยี 

สิ่งที่ควรคำนึงและความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องระมัดระวัง

1. ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (กากกัมมันตรังสี) 

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในระยะยาวคือการจัดการ กากกัมมันตรังสีที่เพิ่มขึ้น (TENORM) ซึ่งเป็นของเสียจากการแปรรูปแร่หายาก หากขาดการลงทุนในระบบการจัดการของเสียที่มีมาตรฐานสูง อาจนำไปสู่การปนเปื้อนน้ำและดินอย่างร้ายแรงในพื้นที่แปรรูป 


2. ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์

การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานที่นำโดยสหรัฐฯ อาจทำให้ไทยถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ และอาจเสี่ยงต่อการถูกตอบโต้ทางการค้าที่ไม่เป็นทางการจากจีน 

ยุทธศาสตร์เพื่อผลประโยชน์สูงสุดและการป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อประเทศ 

1. การป้องกันความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม

รัฐบาลต้องใช้จุดแข็งของกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยในการเจรจาต่อรองให้สหรัฐฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการกากกัมมันตรังสี (Thorium/TENORM) อย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นไปตาม "มาตรฐานสูง" และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามที่ MOU ระบุ 

2. การสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด 

มุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนในขั้นตอนการแยกธาตุบริสุทธิ์ (Refining/Separation) และ การผลิตแม่เหล็กถาวร ซึ่งเป็นส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม EV ของไทยโดยตรง เพื่อยกระดับความสามารถทางอุตสาหกรรม และช่วยให้ไทยเชื่อมโยงเข้าสู่ซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก 

3. การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ไทยต้องวางตัวอย่างสมดุลและรักษาความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ โดยใช้สถานะ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" นี้ในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขการลงทุนที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เพียงฐานทัพเศรษฐกิจในความขัดแย้งของมหาอำนาจ