จากปีการผลิต 2568/69 ผลผลิตข้าวโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศผู้นำเข้าสำคัญ อาทิ ฟิลิปปินส์ ระงับการนำเข้าข้าว 60 วัน และอินโดนีเซีย ชะลอการนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ซึ่งอาจส่งผลกดดันราคาข้าวในตลาดโลกจากภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจช่วยหนุนราคาข้าว
อาทิ ภัยธรรมชาติ มรสุมฝนตกหนักในประเทศอินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม รวมถึงเวียดนามได้ประกาศยกเลิกการยกเว้น และเริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้อาจมีผลต่อกลไกราคาข้าวของตลาดโลกในระยะข้างหน้า ขณะที่ไทยเตรียมความพร้อมรับผลผลิตข้าวนาปีปีการผลิต 2568/69 ที่จะกระจุกตัวและออกมาจำนวนมากในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 72% ของผลผลิตทั้งหมด
แหล่งข่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลสืบเนื่อง จากความผันผวนทางการเมือง ประกอบกับราคาข้าวที่ลดตํ่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข้าวค้างในสต็อกทั้งเกษตรกร สหกรณ์ และสถาบันเกษตรกร รวมกว่า 6 หมื่นตัน ส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิ ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยทางผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ชี้แจงว่าไม่มีปัญหา เนื่องจากโครงการรัฐบาลได้มีการชดเชยการขาดทุนไว้แล้วจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งมีเงินเพียงพอที่จะจ่าย ซึ่งต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ รวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการในการระบายข้าว
อย่างไรก็ดีผลจากความผันผวนของราคาข้าวเปลือกส่งผลทำให้ราคาตลาด ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2568 ราคาข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15% เฉลี่ยที่ 6,200-6,600 บาทต่อตัน, ราคาข้าวเปลือกเหนียว 8,200-8,700 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 8,200-8,500 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ตํ่ากว่าราคาในโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี (จำนำยุ้งฉาง) ปีการผลิต 2568/69 ที่รัฐบาลกำหนดราคาไว้ ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า 8,000 บาทต่อตัน, ข้าวเหนียว 10,000 บาทต่อตัน และข้าวหอมปทุมธานี 9,000 บาทต่อตัน จำเป็นต้องปรับราคาลงมาใหม่ หากฝืนใช้ราคานี้จะส่งผลทำให้สหกรณ์และสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการขาดทุนทันทีในการรับซื้อข้าวเปลือก
ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขอความร่วมมือสหกรณ์ช่วยรับซื้อข้าวเปลือกชี้นำสูงกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 20-30 สตางค์ ช่วยกันพยุงราคา เนื่องจากสมาชิกของสหกรณ์ก็เป็นเกษตรกร ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่าศักยภาพของสหกรณ์ถ้ารวมพลังกันจริง จะช่วยกันแก้ปัญหาราคาข้าวได้ เช่นเดียวกันกับทางโรงสี ก็ขอความเห็นใจ หากพื้นที่ใดไม่มีโรงสี ก็ขอให้ทางสมาชิกสมาคมโรงสีข้าวไทยช่วยแย่งซื้อกับสหกรณ์ ก็จะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นได้
ด้านนายนิรันดร์ มูลธิดา อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยถึงผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ผลการรวบรวมข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 มีสหกรณ์รวบรวมแล้ว 67 แห่ง พื้นที่ 28 จังหวัด ปริมาณการรวบรวม 88,062 ตัน มูลค่า 599.83 ล้านบาท และสหกรณ์ใช้สินเชื่อในโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร จำนวน 2 แห่ง รวบรวมข้าวจำนวน 225.65 ตัน มูลค่า 3.32 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากสหกรณ์การเกษตร กล่าวว่า โรงสีในพื้นที่ไม่มีที่อบหรือจัดเก็บเพียงพอกับปริมาณข้าว เลยไม่สามารถเข้าร่วมโครงการชะลอการขายข้าวหอมมะลิได้ จึงเสนอให้โควตากับโรงสีนอกพื้นที่ได้ ในกรณีที่เป็นคู่ค้ากันมายาวนาน หรือในกรณีที่สหกรณ์ยังติดในเรื่องโครงการระบายข้าว จะสามารถเข้าโครงการชะลอได้หรือไม่ หรือจะต้องระบายข้าวเสร็จสิ้นก่อนถึงจะเข้าโครงการได้ ซึ่งอยากขอความชัดเจน
ขณะที่นายนิพนธ์ สมิทธาพิพัฒน์ อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวถึงในที่ประชุมมีการเสนอให้นำข้าวไปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ว่า ปัจจุบันราคาปลายข้าวส่งถึงโรงงาน 9.30-9.40 บาทต่อกิโลกรัม, เนื้อข้าวสารอยู่ที่ 10 บาทเศษ ส่วนรำข้าวอยู่ที่ 7 บาทเศษ ซึ่งผลจากราคาวัตถุดิบทั้ง 3 ชนิด ส่งผลทำให้โรงสีกำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกความชื้น 15% เฉลี่ย 6,500-6,600 บาทต่อตัน หากเป็นข้าวเกี่ยวสด อยู่ที่ 5,500 บาทต่อตัน ซึ่งหากนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ ก็มองว่ายังไม่สามารถที่จะช่วยผลักดันให้ราคาข้าวปรับสูงขึ้นได้
“ในเร็ว ๆ นี้ ทางสมาคมได้เตรียมทำข้อเสนอเพื่อไปยื่นที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอให้งดการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนอาหารสัตว์ โดยขอให้ใช้วัตถุดิบในประเทศก่อน เพื่อเร่งนำข้าวเปลือกหรือปลายข้าวไปใช้ ก็จะช่วยเพิ่มดีมานด์การใช้ข้าวในประเทศให้เพิ่มขึ้นได้”
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,143 วันที่ 26 -29 ตุลาคม พ.ศ. 2568