สทนช. เปิดตัวเลขผู้ใช้น้ำทั่วไทยพุ่ง 3,790 องค์กร ‘น่าน’ แชมป์อันดับ 1

11 ต.ค. 2568 | 01:27 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ต.ค. 2568 | 01:43 น.

‘น่าน’ ครองแชมป์ผู้ใช้น้ำ 630 องค์กร ขณะที่เจ้าพระยาและบางปะกงตามติด ภาพรวมทั่วประเทศมีผู้ใช้น้ำรวม 3,790 แห่งเกษตรครองสัดส่วนใหญ่

KEY

POINTS

  • สทนช. เปิดเผยตัวเลของค์กรผู้ใช้น้ำที่จดทะเบียนทั่วประเทศมีจำนวนรวม 3,790 องค์กร
  • ลุ่มน้ำน่านมีจำนวนองค์กรผู้ใช้น้ำมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ อยู่ที่ 630 องค์กร
  • องค์กรผู้ใช้น้ำส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกรรมจำนวน 3,179 องค์กร รองลงมาคือภาคพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม

แหล่งข่าวจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2562 มีวัตถุประสงค์ให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมบูรณาการการทำงานเพื่อให้ขับเคลื่อนภารกิจด้านน้ำ ทั้งในด้านการใช้น้ำ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา และการฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำไปในทิศทางเดียว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติ มีความสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งสะท้อนกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

 

สทนช. เปิดตัวเลขผู้ใช้น้ำทั่วไทยพุ่ง 3,790 องค์กร ‘น่าน’ แชมป์อันดับ 1

สทนช. ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรผู้ใช้น้ำสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561  ซึ่งองค์กรผู้ใช้น้ำของทั้ง 22 ลุ่มน้ำที่จดทะเบียนแล้วครอบคลุม 3 ภาคองค์กรผู้ใช้น้ำ ซึ่งปัจจุบันมีการจดทะเบียนแล้วรวมทั้งสิ้น 3,790  องค์กร แบ่งเป็น ภาคเกษตรกรรม 3,179  องค์กร ภาคอุตสาหกรรม 282 องค์กร และภาคพาณิชยกรรม 329  องค์กร  ลุ่มน้ำน่าน ขึ้นแท่นอันดับ 1 ด้วยจำนวนองค์กรผู้ใช้น้ำสูงถึง 630 องค์กร ตามด้วย เจ้าพระยา 348 องค์กร, บางปะกง 328 องค์กร และ ชายฝั่งทะเลตะวันออก 308 องค์กร สะท้อนถึงความหนาแน่นของภาคการผลิตและการอุปโภคที่ต้องการน้ำมหาศาล

ทั้งนี้กฎกระทรวงภายใต้ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 จำนวน 5 ฉบับ และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย กฎกระทรวงที่เสนอโดย สทนช. 3 ฉบับ คือ การเก็บค่าน้ำตามกฎกระทรวง กำหนดลักษณะการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ. 2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สอง และใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำ สำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567

 

ส่วนอีก 2 ฉบับเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สามที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาล พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงการอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม พ.ศ. 2567

 

สำหรับสาระสำคัญของกฎกระทรวงทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว ได้กำหนดลักษณะการใช้น้ำไว้ 3 ประเภทคือ

  • การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน
     
  • การใช้น้ำประเภทที่สอง เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น
     
  • การใช้น้ำประเภทที่สาม เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง

 

 

สำหรับอัตราค่าใช้น้ำในเขตชลประทาน เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการชลประทาน ซึ่งกำหนดค่าชลประทานในอัตรา 50 สตางค์ต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทาน เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้น้ำประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ที่ไม่ใช่น้ำจากทางน้ำชลประทานและไม่ใช่น้ำบาดาลหมายว่าด้วยการชลประทาน พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดไว้ในอัตรา 0.373 สตางค์ต่อ ลบ.ม. เนื่องจากเป็นการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่อาจไม่มีต้นทุนค่าก่อสร้าง ทำให้สามารถจัดหาน้ำได้ในราคาที่ถูกกว่า ส่วนค่าใช้น้ำบาดาล ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล เป็นต้น