‘คนละครึ่ง-อัดเงินบัตรคนจน’ชี้ชะตานโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาลอนุทิน

09 ต.ค. 2568 | 05:29 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2568 | 05:39 น.

รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอนโยบาย “Quick Big Win” ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในกรอบเวลา 4 เดือนของอายุรัฐบาลก่อนยุบสภา

KEY

POINTS

  • รัฐบาลอนุทินเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ "คนละครึ่ง พลัส" ที่จะเริ่ม 29 ต.ค. 68 และการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  • อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินให้ 850 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) รวมเป็น 1,700 บาทต่อคน
  • มีมาตรการเสริมอื่น ๆ เพื่อลดภาระค่าครองชีพและช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น การตรึงราคาแก๊ส LPG, สินค้าราคาประหยัดธงฟ้า และการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs

มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจซบเซารุนแรง พร้อมเร่งสร้างแรงกระตุ้นในภาคการบริโภค การลงทุน การค้าภายในประเทศ และการท่องเที่ยว

วัตถุประสงค์ของนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน (“Quick”) มีขนาดเม็ดเงินเพียงพอให้เกิดผลในระดับภาพรวม (“Big”) และกระจายประโยชน์ให้กับประชาชนและธุรกิจรายย่อยทั่วประเทศ (“Win”)

สำหรับความคืบหน้าของโครงการสำคัญล่าสุด ในส่วนของของโครงการคนละครึ่ง พลัส เตรียมเปิดใช้งานในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ผ่ายแอปฯเป๋าตัง ใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท ส่วนการเติมเงินผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคน โดยจะเพิ่มวงเงินให้ 850 บาทต่อคนต่อเดือน รวมเป็น 1,700 บาทต่อคนต่อ 2 เดือน เริ่มโอนเงินรอบแรกพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ใช้งบ 22,780 ล้านบาท ขณะที่ยังมีการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อนเป็นอีกตัวช่วยผู้ประกอบการให้ไปต่อ

‘คนละครึ่ง-อัดเงินบัตรคนจน’ชี้ชะตานโยบายเศรษฐกิจ รัฐบาลอนุทิน

ขณะที่กระทรวงพลังงาน สั่งตรึงราคา LPG (ก๊าซหุงต้ม) ไว้ที่ 423 บาทต่อถัง (15 กก.)ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ส่วนกระทรวงพาณิชย์สั่งดำเนินมาตรการธงฟ้า สินค้าราคาประหยัด ช่วยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา การจับมือกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการเปิดเผยราคายาอย่างโปร่งใส และสามารถไปหาซื้อยาจากร้านข้างนอกได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของนโยบายรัฐบาลในครั้งนี้อยู่ที่ความชัดเจนด้านเป้าหมายและไทม์ไลน์ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ารัฐบาลได้ขยับแล้ว นอกจากนี้ยังใช้เครื่องมือที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น เป๋าตัง บัตรสวัสดิการฯ ครอบคลุมทั้งภาคประชาชน ผู้ประกอบการ SMEs และภาคบริการ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น คือการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาขน และระยะยาวคือการพัฒนาอุตสาหกรรม และต่อลมหายใจผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศ

แต่ทั้งนี้นโยบาย Quick Big Win ยังมีจุดอ่อนและความเสี่ยง คือ กรอบเวลา 4 เดือนสั้นเกินไปในการดำเนินโครงการให้เห็นผลจริงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ ขณะที่เม็ดเงินยังมีขนาดจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการเข้าถึงโครงการของประชาชนในกลุ่มเปราะบางยังอาจมีข้อจำกัด มีความเสี่ยงด้านการคลังและภาระหนี้ระยะยาว และปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจโลก และปัจจัยภายในประเทศเช่นน้ำท่วม และภัยธรรมชาติ อาจบั่นทอนผลกระทบเชิงบวก

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาแล้ว โอกาสความสำเร็จของโครงการ ก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จสูง เพราะโครงการใช้กลไกที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนได้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เช่น “คนละครึ่ง” และ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” แต่ก็มีความเสี่ยงล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากโครงการใหม่อาจมีความล่าช้าจากความไม่พร้อมในทางระบบ และในแง่กฎหมาย และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย

บทสรุปนโยบาย Quick Big Win เป็นก้าวแรกที่จำเป็นและเร่งด่วนของรัฐบาลอนุทิน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปี ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด ซึ่งหากโครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายจะขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเชิงระบบ ความเร็วในการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลควรใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้น สู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในปีถัดไป