KEY
POINTS
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ แถลงภายหลังการประชุมติดตามและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วม โดยประกาศนโยบายกระทรวงพาณิชย์ 7 เรื่องหลัก ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนี้
ร่วมมือกับภายในกระทรวงและนอกกระทรวง เจรจาภาษีทรัมป์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจาได้ภาษี 19% แต่ยังเหลือรายละเอียด ทั้งเรื่องสินค้าถิ่นกำเนิด ดูแลการทุ่มตลาด การช่วยเหลือผู้ประกอบการ และต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนและเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย ซึ่งได้มีการตั้งเป้าสิ้นปีเจรจาจบมีรายละเอียดอย่างชัดเจน
ขณะที่เรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ ได้มีการรวบรวมการขอใบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าหรือ CO มาไว้ที่กระทรวงพาณิชย์ ทำให้มั่นใจว่าการออกใบสามารถตรวจสอบต้นทางได้ถูกต้อง จะไม่มีการปลอมแปลงเอกสาร
ส่วนเรื่องสินค้าทุ่มตลาด AD จะดำเนินการลดระยะเวลาผู้ประกอบการเรียกร้องของใช้สิทธิ์ โดยการขอคำร้องจาก 3 เดือนเหลือ 1 เดือน โดยใช้ระบบเทคโนโลยีคำนวนให้ถูกต้องและรวดเร็ว และมีการปรับปรุงระเบียบให้สามารถทำได้สั้นลด
ต้องลงพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบหลายกลุ่ม อาทิ ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ โดยแต่ละกลุ่มมีวิธีช่วยเหลือแตกต่างกัน ซึ่ง ประชาชน จะสามารถช่วยลดค่าครองชีพ ผ่านกิจกรรมธงฟ้า นอกจากนั้นให้พาณิชย์ 7 จังหวัด เข้าไปดูแลประชาชนว่าเรื่องใดสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
ขณะที่ เกษตรกร ผู้ประกอบการ มีสินค้าที่ส่งข้ามแดนไปไม่ได้ต้องหาช่องทางตลาดใหม่ และจัดกิจกรรมมหกรรมค้าชายแดน สนับสนุน ส่วนผู้ส่งออก จะช่วยหาตลาดใหม่เพิ่ม
โดยเร่งรัดความตกลงการค้าเสรี (FTA) ปัจจุบันประเทศไทยมี FTA 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ ปีนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ไทยได้ลงนาม FTA กับ EFTA (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์) ซึ่งเป็นครั้งแรกกับกลุ่มประเทศในยุโรป โดยตั้งเป้าการมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 38%
ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลภายในปีนี้ คือการเร่งบรรลุข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป (EU) และเกาหลีใต้
นอกจากนี้ จะผลักดันให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ให้มากขึ้น ซึ่งแม้จะมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ส่วนการหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เร่งบุกตลาดใหม่และช่วงชิงตลาดสหรัฐฯ มุ่งเน้นสินค้าที่ไทย มีความสามารถในการส่งออก อาทิ ตะวันออกกลาง (ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) อาเซียน (เวียดนาม)
รวมถึงจัดกิจกรรมทางการค้า ทุกรูปแบบ นำคณะผู้แทนการค้าไปเจรจาการค้ากับผู้นำเข้ารายสำคัญ
โดยลดค่าครองชีพโดยตรง มหากรรมธงฟ้า ค่าเดินทางและขนส่ง ช่วงเทศกาล ปีใหม่ ตรุษจีน นอกจากนี้ ยังมีแผนดำเนินการ โดย MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเรื่องเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน และไม่จำเป็นจะต้องยอมรับในค่าใช้จ่ายนั้นทันที
โดยประชาชนสามารถไปซื้อที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่จะเข้ามาร่วมโครงการอยู่พอสมควร โดยจะช่วยลดค่าครองชีพ 32,400 ล้านบาท
"ตอนนี้สมาคมโรงพยาบาลเอกชน มีอยู่ 330 แห่ง แบ่งออก 11 เครือ ตอนนี้ดีลได้ 5 เครือประมาณ 110 แห่ง สามารถลดค่าครองชีพได้ 32,400 ล้านบาท โดยจะมีการประชุมเพิ่มเติม 7 ตุลาคม นี้ คาดว่าจะได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม"
ขณะที่เวชภัณฑ์จำเป็น ยังคงมีคุมควบต้นทุนสินค้า อาทิ ถุงมือยาง สำลี ATK สามารถลดค่าครองชีพได้ 1,100 ล้านบาท
สำหรับการรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตร มีหลักคือ ประเมินอุปสงค์ อุปทานล่วงหน้า บริหารจัดการอุปทาน เพิ่มอุปสงค์ตามสถานการณ์ ผลักดันส่งออก รักษาลูกค้าเดิม หาลูกค้าศักยภาพใหม่ กำหนดมาตรการนําเข้า มาตรการ แก้ไขปัญหาระยะยาว และดูแลพันธุ์ข้าว ผลผลิตต่อไร่ พืชมูลค่าสูงทดแทน
ขณะที่มาตรการดูแล สินค้าเกษตร แยกเป็นกลุ่ม คือ
สำหรับมาตรการระยะสั้น 4 เดือน กระทรวงพาณิชย์มุ่งเน้นการแก้ปัญหาราคาโดยการลดปริมาณซัพพลายในตลาด และลดภาระของเกษตรกร ได้แก่
ขณะเดียวกัน จะเร่งทำ MOU ล็อกโควตา โดยกระทรวงฯ กำลังเร่งเจรจา MOU กับญี่ปุ่น เพื่อล็อกโควตาข้าว 300,000 ตัน เนื่องจากญี่ปุ่นมีข้อตกลงต้องนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 75% ซึ่งอาจมาเบียดบังโควตาของไทยได้
นอกจากนี้ มีแผนเจรจา G2G กับสิงคโปร์ จากเดิมที่ค้าขายแบบเอกชนต่อเอกชน (P2P) กำลังพยายามเจรจา G2G เพื่อให้ได้ปริมาณการค้าที่แน่นอนและคาดการณ์ได้มากขึ้น รวมถึงขยายตลาดศักยภาพ เร่งเปิดตลาดใหม่ โดยมีเป้าหมาย อาทิ ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง และยุโรป
โดยเพิ่มรายได้ SME ในส่วน SME ไทย ภาษีทรัมป์ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งต้องขยายตลาดเสริมตลาดสหรัฐฯ และต้องแข่งพัน กับสินค้าทะลักที่ส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้กระทรวงพาณิชย์เข้าใจในผลกระทบดี ดำเนินการใน 6 มิติด้วยกัน