เงินเฟ้อติดลบ 6 เดือนซ้อน เสี่ยงสู่ภาวะเงินฝืด จี้รัฐเร่งอัดฉีดกระตุ้นใช้จ่าย-ลงทุนเพิ่มจ้างงาน

07 ต.ค. 2568 | 09:20 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2568 | 09:32 น.

ผู้เชี่ยวชาญเตือน สัญญาณอันตรายเริ่มชัด ไทยเสี่ยงภาวะเงินฝืด หลังเงินเฟ้อติดลบ 6 เดือนต่อเนื่อง จี้รัฐบาลต้องเร่งฟื้นกำลังซื้อ เร่งลงทุนภาครัฐสร้างงานเพิ่มรายได้ พร้อมเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนสุงสุดในเอเชีย ทำจีดีพีไทยติดหล่ม

KEY

POINTS

  • เงินเฟ้อไทยเดือนกันยายน 2568 ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ -0.72% ซึ่งนักวิชาการมองว่าเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในทางเทคนิคแล้ว
  • สาเหตุหลักของเงินเฟ้อติดลบมาจากราคาพลังงานและสินค้ากลุ่มอาหารสดที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง
  • มีข้อเสนอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐเพื่อเพิ่มการจ้างงาน และการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงาน ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) ของเดือนกันยายน 2568 ล่าสุด ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยติดลบ 0.72% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งหลายฝ่ายกังวลจะเกิดภาวะเงินฝืด (จากเศรษฐกิจแย่ คนไม่กล้าใช้จ่ายหรือลงทุน คนตกงาน และมีหนี้สินเพิ่มขึ้น)

โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เงินเฟ้อลดลงมาจากราคาพลังงาน (ค่าไฟฟ้าและน้ำมัน) และสินค้ากลุ่มอาหารสด (ไข่ไก่ ผักและผลไม้สด) ที่ปรับตัวลดลง กระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศและการจ้างงานยังอยู่ในระดับปกติ

อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ได้มีการปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2568 เหลือ 0.0% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ระหว่าง 0.0-1.0%

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 6 เดือน หรือสองไตรมาส ในทางเทคนิคถือว่าเข้าสู่ภาวะเงินฝืด คือคนไม่จับจ่ายใช้สอย สาเหตุคือรายได้ไม่เพิ่มขึ้น สินค้าราคาแพงขึ้น ทำให้คนไม่อยากจับจ่ายใช้สอย ส่งผลการบริโภคของประชาชนลดลง และจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่จะลดต่ำลง (จีดีพีไทยไตรมาสแรกปี 2568 ขยายตัว 3.1% ไตรมาส 2 ขยายตัวลดลงเหลือ 2.8% และภาพรวมครึ่งปีแรกขยายตัวประมาณ 3%)

“เงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องกัน 6 เดือนในทางเทคนิคถือว่าเข้าสู่ภาวะเงินฝืด แต่ในข้อเท็จจริงเงินเฟ้อที่ติดลบมีสาเหตุสำคัญจากราคาพลังงาน และราคาอาหารลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำลังซื้อของประชาชนลดลง สินค้าในภาพรวมมีราคาสูงขึ้น ทำให้ลดการใช้จ่าย แต่ยังใช้จ่ายอยู่ จึงยังไม่ถึงขั้นเงินฝืดคือ ไม่ยอมใช้จ่าย ดังนั้นวิธีแก้ของรัฐบาลคือต้องใส่เงินเข้าไปเพื่อให้คนออกมาจับจ่ายให้มากขึ้น โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการเร่งโครงการคนละครึ่ง พลัส และเติมเงินเพิ่มในกลุ่มที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คาดจะทำให้การจับจ่ายใช้สอย และเศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น ขณะเดียวกันต้องเร่งการลงทุนภาครัฐเพื่อสร้างรายได้ และเพิ่มการจ้างงาน”

ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า จากที่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีอายุ 4 เดือนหลังแถลงนโยบายก่อนยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ต่อจากรัฐบาลชุดปัจจุบันจะเป็นอย่างไร ดังนั้นรัฐบาลชุดปัจจุบันควรทำแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อวางรากฐาน หรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศเพื่อรองรับในระยะยาว

อีกวาระเร่งด่วนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันควรเร่งแก้ไขคือ หนี้ครัวเรือนของไทยที่แตะเกือบ 90% ของจีดีพี สูงสุดในอาเซียน และหนี้สาธารณะเกือบเต็มเพดานที่ 70% ของจีดีพี ซึ่งทั้งสองตัวนี้เป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไม่ให้เดินหน้าได้เต็มศักยภาพ เพราะประชาชนและรัฐบาลเมื่อมีรายได้เพิ่มก็ต้องเอาไปจ่ายหนี้

นอกจากนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% ต่อปี) เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ