ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้เงินเฟ้อไทยติดลบ 6 เดือน สัญญาณเข้าสู่เงินฝืด จับตาท่าที กนง.

07 ต.ค. 2568 | 05:13 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2568 | 05:15 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้เงินเฟ้อติดลบ 6 เดือน เป็นสัญญาณเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เสนอให้ทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ และพิจารณาใช้มาตรการทางการเงินแบบเจาะจงเฉพาะกลุ่ม ควบคู่ไปกับการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
  • คาดการณ์ว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิม แต่อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์
  • แม้ กนง. อาจคงดอกเบี้ยในรอบนี้ แต่คาดว่าท่าทีโดยรวมจะผ่อนคลายลง เพื่อเปิดทางเลือกในการลดดอกเบี้ยในอนาคตหากเศรษฐกิจยังชะลอตัว

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเศรษฐกิจ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" หลังดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (CPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 100.11 ลดลง 0.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลงต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2568

นายบุรินทร์ ระบุว่า ภาวะดังกล่าวถือเป็นสัญญาณว่า "เริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด" โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ​​​​​การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth)  ถ้าติดลบจะเป็นลักษณะของภาวะเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า  Disinflationary คือทำให้เศรษฐกิจตึงตัว ซึ่งเริ่มเป็นสัญญาณของภาวะนี้แล้ว แต่โดยหลักภาวะเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่องต้องติดลบติดต่อกันนานพอสมควร

ตอนนี้เงินเฟ้อติดลบ ก็ถือว่าเข้าเงื่อนไขตามนิยาม เพียงแต่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี และกำลังเข้าสู่ความฝืดเคือง ภาวะนี้ทำให้เงินเฟ้อต่ำและจะลดลงเรื่อย ๆ

สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1–3% ต่อปี อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทบทวนกรอบเป้าหมายให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันหรือไม่ นายบุรินทร์กล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ มองว่าการปรับแนวทางหรือกระบวนการกำหนดกรอบนโยบายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้การบริหารนโยบายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังกล่าวต่อว่า ในระยะข้างหน้า ธนาคารกลางอาจพิจารณาตัวชี้วัดอื่นประกอบ เช่น การขยายตัวของสินเชื่อ หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจและครัวเรือน เพราะหากสินเชื่อหดตัวมากเกินไป อาจสะท้อนภาวะเศรษฐกิจไม่ดี

มาตรการเฉพาะกลุ่มควบคู่นโยบายการเงิน ลดดอกเบี้ยช่วยหนี้ครัวเรือน

นายบุรินทร์ระบุว่า หากสถานการณ์แบบนี้เกิดในต่างประเทศ คงมีการลดดอกเบี้ย พร้อมอธิบายว่า ประเทศอื่นจะมีมาตรการนอกเหนือจากการปรับลดดอกเบี้ย เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE : Quantitative Easing) หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ไม่ปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือสินเชื่อรถยนต์ แต่มีเงินมาสนับสนุนส่วนนั้นแทน หรือช่วยคนตัวเล็กที่กู้ไม่ได้ ก็มีมาตรการเฉพาะเพื่อให้เงินสะพัด

ดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือกว้าง ๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจง ถ้าลดก็กระทบทั้งประเทศ ถ้าจะช่วยเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มอสังหาฯ หรือกลุ่มรถยนต์ ก็ต้องใช้มาตรการแบบเจาะจง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถทำเพิ่มเติมได้ตอนนี้เป็นช่วงที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่อาจจะได้เห็นเครื่องมือใหม่ ๆ และอาจต้องมองให้ลึกกว่าด้านเสถียรภาพ คือมองถึงเศรษฐกิจจริงที่ประชาชนและภาคธุรกิจลำบาก

นายบุรินทร์กล่าวถึง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ที่ประชุมมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม แต่คาดว่ามติอาจไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการชุดใหม่เข้ามา ซึ่งยังไม่ชัดเจนถึงแนวทางการตัดสินใจหรือจุดยืนทางนโยบายของแต่ละคน

นายบุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้คาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนในรอบนี้ แต่มีความเป็นไปได้ที่ท่าทีโดยรวม ของธนาคารกลางจะผ่อนคลายลง เพื่อเปิดทางให้การลดดอกเบี้ยเป็นทางเลือกในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่อง

 

คิดว่าจุดยืนของที่ประชุมครั้งนี้น่าจะเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเศรษฐกิจมากขึ้น ไม่ได้ดูแค่เสถียรภาพทางการเงิน แต่จะดูเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของผู้คนมากขึ้น ผมว่าความสนใจจะเพิ่มขึ้นในเรื่องเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายที่ผ่อนคลายลง ผู้ว่าฯ น่าจะเปิดโอกาสให้เริ่มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นชุดได้

คนละครึ่งพลัส ช่วยเศรษฐกิจฐานรากได้ แต่ไม่ดันเงินเฟ้อ

สำหรับมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” นายบุรินทร์กล่าวว่า คงไม่สามารถช่วยดึงเงินเฟ้อให้กลับมาเป็นบวกได้มาก เพราะเม็ดเงินน้อย กระตุ้นเศรษฐกิจระดับล่างได้แต่ไม่มากพอให้เกิดเงินใหม่จำนวนมาก

ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้น แต่ถามว่าจะทำให้เงินเฟ้อขึ้นไหม คงไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะการขยายตัวของสินเชื่อยังลดอยู่ กำลังซื้อก็ยังต่ำ ช่วยให้เงินหมุนเวียนมากขึ้น แต่คงไม่ถึงขั้นกระตุ้นเงินเฟ้อได้

ลดดอกเบี้ย–แก้โครงสร้าง ฟื้นเศรษฐกิจยั่งยืน

นายบุรินทร์ ว่า การลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระหนี้ได้ ทำให้คนมีสภาพคล่องมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วต้องมาจากการที่มีธุรกิจใหม่ ๆ มีนวัตกรรมใหม่ เพื่อดึงรายได้เพิ่มขึ้น เพราะหากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยฝ่ายเดียว แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไม่เติบโต ปัญหาโครงสร้างก็ยังอยู่

ต้องทำควบคู่กันระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย กับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่นอกจากจะเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น Quick Big Win แล้วควรเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวด้วย