KEY
POINTS
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเศรษฐกิจ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" หลังดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (CPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 100.11 ลดลง 0.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลงต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2568
นายบุรินทร์ ระบุว่า ภาวะดังกล่าวถือเป็นสัญญาณว่า "เริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด" โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth) ถ้าติดลบจะเป็นลักษณะของภาวะเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า Disinflationary คือทำให้เศรษฐกิจตึงตัว ซึ่งเริ่มเป็นสัญญาณของภาวะนี้แล้ว แต่โดยหลักภาวะเงินเฟ้อต่ำต่อเนื่องต้องติดลบติดต่อกันนานพอสมควร
ตอนนี้เงินเฟ้อติดลบ ก็ถือว่าเข้าเงื่อนไขตามนิยาม เพียงแต่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี และกำลังเข้าสู่ความฝืดเคือง ภาวะนี้ทำให้เงินเฟ้อต่ำและจะลดลงเรื่อย ๆ
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1–3% ต่อปี อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาทบทวนกรอบเป้าหมายให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันหรือไม่ นายบุรินทร์กล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ มองว่าการปรับแนวทางหรือกระบวนการกำหนดกรอบนโยบายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้การบริหารนโยบายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังกล่าวต่อว่า ในระยะข้างหน้า ธนาคารกลางอาจพิจารณาตัวชี้วัดอื่นประกอบ เช่น การขยายตัวของสินเชื่อ หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจและครัวเรือน เพราะหากสินเชื่อหดตัวมากเกินไป อาจสะท้อนภาวะเศรษฐกิจไม่ดี
มาตรการเฉพาะกลุ่มควบคู่นโยบายการเงิน ลดดอกเบี้ยช่วยหนี้ครัวเรือน
นายบุรินทร์ระบุว่า หากสถานการณ์แบบนี้เกิดในต่างประเทศ คงมีการลดดอกเบี้ย พร้อมอธิบายว่า ประเทศอื่นจะมีมาตรการนอกเหนือจากการปรับลดดอกเบี้ย เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE : Quantitative Easing) หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ไม่ปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือสินเชื่อรถยนต์ แต่มีเงินมาสนับสนุนส่วนนั้นแทน หรือช่วยคนตัวเล็กที่กู้ไม่ได้ ก็มีมาตรการเฉพาะเพื่อให้เงินสะพัด
ดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือกว้าง ๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจง ถ้าลดก็กระทบทั้งประเทศ ถ้าจะช่วยเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มอสังหาฯ หรือกลุ่มรถยนต์ ก็ต้องใช้มาตรการแบบเจาะจง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถทำเพิ่มเติมได้ตอนนี้เป็นช่วงที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่อาจจะได้เห็นเครื่องมือใหม่ ๆ และอาจต้องมองให้ลึกกว่าด้านเสถียรภาพ คือมองถึงเศรษฐกิจจริงที่ประชาชนและภาคธุรกิจลำบาก
นายบุรินทร์กล่าวถึง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ที่ประชุมมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม แต่คาดว่ามติอาจไม่เป็นเอกฉันท์ เนื่องจากมีกรรมการชุดใหม่เข้ามา ซึ่งยังไม่ชัดเจนถึงแนวทางการตัดสินใจหรือจุดยืนทางนโยบายของแต่ละคน
นายบุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้คาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนในรอบนี้ แต่มีความเป็นไปได้ที่ท่าทีโดยรวม ของธนาคารกลางจะผ่อนคลายลง เพื่อเปิดทางให้การลดดอกเบี้ยเป็นทางเลือกในระยะต่อไป หากภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวต่อเนื่อง
คิดว่าจุดยืนของที่ประชุมครั้งนี้น่าจะเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเศรษฐกิจมากขึ้น ไม่ได้ดูแค่เสถียรภาพทางการเงิน แต่จะดูเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของผู้คนมากขึ้น ผมว่าความสนใจจะเพิ่มขึ้นในเรื่องเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายที่ผ่อนคลายลง ผู้ว่าฯ น่าจะเปิดโอกาสให้เริ่มลดดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นชุดได้
คนละครึ่งพลัส ช่วยเศรษฐกิจฐานรากได้ แต่ไม่ดันเงินเฟ้อ
สำหรับมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” นายบุรินทร์กล่าวว่า คงไม่สามารถช่วยดึงเงินเฟ้อให้กลับมาเป็นบวกได้มาก เพราะเม็ดเงินน้อย กระตุ้นเศรษฐกิจระดับล่างได้แต่ไม่มากพอให้เกิดเงินใหม่จำนวนมาก
ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้น แต่ถามว่าจะทำให้เงินเฟ้อขึ้นไหม คงไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะการขยายตัวของสินเชื่อยังลดอยู่ กำลังซื้อก็ยังต่ำ ช่วยให้เงินหมุนเวียนมากขึ้น แต่คงไม่ถึงขั้นกระตุ้นเงินเฟ้อได้
ลดดอกเบี้ย–แก้โครงสร้าง ฟื้นเศรษฐกิจยั่งยืน
นายบุรินทร์ ว่า การลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระหนี้ได้ ทำให้คนมีสภาพคล่องมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วต้องมาจากการที่มีธุรกิจใหม่ ๆ มีนวัตกรรมใหม่ เพื่อดึงรายได้เพิ่มขึ้น เพราะหากแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยฝ่ายเดียว แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไม่เติบโต ปัญหาโครงสร้างก็ยังอยู่
ต้องทำควบคู่กันระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย กับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่นอกจากจะเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น Quick Big Win แล้วควรเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวด้วย