KEY
POINTS
เภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้า จังหวัดเชียงราย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับโครงการคนละครึ่งหรือคนละครึ่งพลัส และอาจรวมถึงโครงการธงฟ้าประชารัฐ ที่รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดขึ้นในไตรมาส 4 นับได้ว่าเป็นการสานต่อโครงการเดิมที่ดีมาก หากทำได้สำเร็จจะทำให้บรรยากาศการค้าขายคึกคักขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ซึ่งผู้คนก็เริ่มมีความตื่นตัวมาก
โดยปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยในตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นในรัฐบาลใหม่ ดังนั้น สิ่งสำคัญของโครงการคือ ต้องให้ประชาชนใช้เงินผ่านแอปพลิเคชันและใช้จ่ายตามระบบ ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการใช้เงินสดเหมือนการแจกเงิน 10,000 บาท เพราะคนที่ได้รับเงินสดจะสามารถนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นที่ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการใช้หนี้ในครัวเรื่อนที่พุ่งสูงมากในปัจจุบัน
“อยากให้รัฐบาลดำเนินโครงการลักษณะนี้ต่อเนื่อง ไปจนถึงปีหน้าหรือจนกว่าจะยุบสภา เพราะโครงการเหล่านี้เข้าถึงคนเดือดร้อนจริงและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง หากเป็นไปได้อยากให้มีโครงการธงฟ้าประชารัฐอยู่ในไตรมาส 4 ให้โครงการคนละครึ่ง อยู่ในไตรมาส 1 ของปีหน้า เหตุผลในการจัดลำดับนี้คือ ต้องการให้ความช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยและคนจนก่อน และหลังจากนั้นจะเป็นช่วง High Season ที่ผู้คนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้วเพื่อต้อนรับปีใหม่ไทย”
เภสัชกรหญิงอมร กล่าวว่า ในมุมของธนพิริยะ 53 สาขา ครอบคลุม 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และคาดว่าจะเปิดเพิ่มรวมเป็น 55 หรือ 56 สาขา ในปี 2568 นี้ มองว่าภาพรวมของค้าปลีกค้าส่งใน 3 ไตรมาสของปี 2568 ที่ผ่านมาผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เมื่อมาถึงในช่วงไตรมาส 4 เริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อตั้งแต่ในช่วงสัปดาห์แรกจึงคาดว่าไตรมาส 4 น่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด
ปัจจัยสนันสนุนสำคัญคือ ภาคเหนือยังเป็นพื้นที่เมืองท่องเที่ยว และในปีนี้ไม่เกิดน้ำท่วมเหมือนปีที่ผ่านมาตลอดจนเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นอากาศเริ่มเย็น ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดี ซึ่งการท่องเที่ยวถือเป็นกำลังหลักส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือช่วงปลายปีของทุกปียอดขายค้าปลีกค้าส่งจะสูงสุด ส่วนใหญ่กำลังซื้อจะกระเตื้องขึ้นประมาณ 5-10%
ดังนั้น เมื่อมีโครงการจากภาครัฐเข้ามาเป็นกำลังเสริม บริษัทก็พร้อมอัดโปรโมชั่นเชิงรุก ทั้งเตรียมพร้อมการซัพพอร์ตด้านโลจิสติกส์ รองรับการซื้อสินค้าของลูกค้าให้ได้ โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกของโครงการ ต้องพยากรณ์ล่วงหน้าและวางแผนจัดการสินค้าล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้สินค้าเพียงพอครอบคลุมทุกสาขา
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง จ.อุดรธานี กล่าวว่า ทั้งโครงการคนละครึ่งและโครงการธงฟ้าประชารัฐ คือความหวังของผู้ประกอบการทั้งค้าปลีก-ค้าส่ง และเป็นความหวังของผู้บริโภคด้วย แม้เงินที่จะไหลเข้าระบบจะยังไม่มาถึงหรือโครงการยังไม่ถูกดำเนินการ แต่ผู้ประกอบการธุรกิจก็ต้องเริ่มทำโปรโมชั่นก่อนเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าจดจำโปรโมชั่นไว้ เมื่อสามารถเริ่มโครงการได้จริงจะช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้ทันที และคาดหวังว่าในไตรมาส 4 โอกาสที่กำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาอาจสูงถึงประมาณ 70% จาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้หดตัสสูงสุดน้อยกว่าปีที่แล้ว
ด้าน นายประกอบ ไชยสงคราม ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง บริษัท ยงสงวนกรุ๊ป จำกัด จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ในภาพรวมกำลังซื้อและสภาพตลาดค้าปลีก-ค้าส่ง ของไทยหดตัวมานานจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเงินเฟ้อ ภาวะสงคราม หรือปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างน้ำท่วม ฯลฯ
การปลุกโครงการคนละครึ่งหรือโครงการธงฟ้าประชารัฐของรัฐบาลในชุดปัจจุบัน ถือว่ามาถูกจังหวะช่วง High Season (ธันวาคม-มกราคม) เป็นทิศทางเดียวที่ทำให้ไตรมาส 4/2568 รอด และสามารถหล่อเลี้ยงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนได้ แต่การแข่งขันในฝั่งผู้ประกอบการจะดุเดือดและแย่งกันเอง หรือ "ฆ่ากันเอง" เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) เพราะรายได้ประชากรคงที่ไม่เติบโต
“ยกตัวอย่าง หากยงสงวนเติบโต แสดงว่ามีร้านค้าอื่นในอีสานใต้ที่ยอดขายตก ในช่วงโครงการจะไม่มีแผนแผนระยะยาว แต่เน้นแผนระยะสั้น คือการเร่งทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาจับจ่ายที่ร้านให้มากที่สุด เพราะพายุหมุนของเศรษฐกิจจะอยู่ในไตรมาส 4 รอบเดียวเท่านั้น พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค จะใช้เงินในระบบของโครงการก่อนและเก็บเงินตัวเองไว้ใช้หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงอยู่มาก”
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของยงสงวนในช่วงครึ่งปีแรก (6 เดือนแรกปี 2568) ธุรกิจเติบโต 7% และเริ่มหดตัวในไตรมาส 3 ทำให้ภาพรวมการเติบโตรวมเดือน 9 ประมาณ 5% สำหรับไตรมาส 4 การแข่งขันจะดุเดือด และโครงการของภาครัฐจะมีส่วนบูมกำลังซื้อซึ่งอาจอยู่ในระยะเวลาสั้นๆ