KEY
POINTS
จากกรณีที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนกันยายน 2568 เท่ากับ 100.11 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.84 ทำให้อัตรา เงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.72% โดยเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเงินเฟ้อไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยมีการยืนยันว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากภาวะเงินฝืด
ต่อเรื่องดังกล่าวนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวให้ความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากถามถึงความเป็นห่วงเรื่องภาวะเงินฝืดน่าจะไม่มีอะไรในเวลานี้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เองก็ระบุว่ายังไม่ได้เป็นภาวะเงินฝืด โดยตัวเลขเงินเฟ้อติดลบ 0.72% เดือน ก.ย. ขณะที่ภาพรวมคาดว่าทั้งปีเงินเฟ้อน่าจะติดลบ
ทั้งนี้ ตามเป้าเงินเฟ้อของรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระดับเงินเฟ้อที่ดีควรจะอยู่ที่ 1-3% แต่ภาพที่เห็นคือติดลบมาโดยตอด ซึ่งหมายความว่ากำลังซื้อมีปัญหา ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในปัจจุบัน มีผลทำให้รายจ่ายของประเทศในการนำเข้านำเข้าพลังงานลดงชั่วคราว
อีกทั้งยังมีแพคเก็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจบางอย่างที่ออกมาช่วยอุดหนุน (Susidize) แต่ท้ายที่สุดแล้วเงินเฟ้อดังกล่าวเหล่านี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
“แม้กระทรวงพาณิชย์จะระบุว่ายังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด ก็เป็นเรื่องหนึ่งในเชิงปฏิบัติ แต่ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์จะมองอีกรูปแบบหนึ่งตามทฤษฎีที่เห็นว่าเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน โดยเรื่องดังกล่าวจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าการที่เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าที่วางไว้จะทำให้มีปัญหา”
ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นเวลานี้เงินเฟ้อสูงเกินเป้า ซึ่งเกิดจากการที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ามาก ซึ่งสลับข้างกัน โดยปัจจุบันเศรษฐกิจของญีา่ปุ่นถือว่าชะลอตัว จากเดิมประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ออมเงินมาก ไม่ค่อยใช้จ่ายในประเทศ ทำให้เงินเฟ้อต่ำมาตลอด โดยทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าเงินเฟ้อไว้ที่ 2% กว่า แต่ปัจจุบันมีการปรับเป้าเงินเฟ้อไปอยู่ที่ประมาณ 2.7% ส่งผลทำให้สินค้า อาหารของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่าย สินค้านำเข้าสูงขึ้น แต่รายได้ของประชาชนไม่เพิ่ม ทำให้มีปัญหา
แต่ของไทยจากการที่กำลังซื้อถดถอยจากปัญหาหนี้ครัวเรือน รายได้น้อยกว่ารายจ่าย และเงินบาทแข็งค่าทำให้การนำเข้าพลังงานที่เป็นหมวดใหญ่ลดลง โดยนำไปสู่สถานการณ์ที่ประชาชนในภาพรวมรู้สึกว่าเงินไม่สะพัด ไม่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะต่างจังหวัดจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณชี้วัดตามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ว่าจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ตามรายงานของ สนค. นั้น ต้องเรียนว่าเป็นภาพที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อ รายได้ และรายจ่ายที่ทำให้ประชาชนมีการระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมาจากเงินที่ไหลเวียนในระบบหายไป ประกอบกับตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาเงินบาทมีการแข็งค่าโดยตลอด ซึ่งมีผลทำให้สินค้านำเข้า เช่นในหมวดพลังงานราคาลดลง สะท้อนมาถึงเรื่องดังกล่าวได้”
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำในช่วง 4 เดือนในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คณะกรรมร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. และส.อ.ท. เสนอก็เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง หรือแพจเกจท่องเที่ยวที่อาจจะเกิดขึ้นนระยะข้างหน้า สิ่งดังกล่าวเหล่านี้จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าหลังจากที่ทำมาตรการ หากเงินเฟ้อดีขึ้นจากติดลบขยับขึ้นมาเป็น 0-1% หรือสูงกว่าศูนย์ได้ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นที่เห็นผล
“เวลานี้รัฐบาลและทีมงานเศรษฐกิจน่าจะทราบถึงสัญญาณดังกล่าวแล้ว ดังนั้น ก็จะต้องหามาตรการเพื่อมากระตุ้น โดยเชื่อว่าหากสามารถกระตุ้นได้ดีตัวชี้วัดก็จะแสดงให้เห็นว่า หากตัวเลขเงินเฟ้อขยับขึ้นมาใกล้ศูนย์ได้ ก็ถือว่ามาตรการเกิดผล แต่ถ้าสามารถขยับขึ้นมาที่ระดับ 0-1% ก็ถือว่ายื่งประสบความสำเร็จ”