EEC ยังมีมนต์ขลัง ต่างชาติแห่ลงทุนกว่า 6.6 แสนล้าน ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ โตแรง

24 ก.ย. 2568 | 09:16 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ย. 2568 | 09:26 น.

EEC ยังเนื้อหอม ต่างชาติขอส่งเสริมลงทุนกว่า 6.6 แสนล้าน บีโอไอเผย 5 อันดับมาแรงมูลค่าลงทุนสูงสุด ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ พลังงานหมุนเวียน คาดปีนี้ยอดขอรับส่งเสริมทำนิวไฮ ชี้จุดแข็งไทยยังมีมนต์ขลัง

KEY

POINTS

  • ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 พื้นที่ EEC ดึงดูดการลงทุนได้กว่า 6.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 62% ของเงินลงทุนทั้งหมดทั่วประเทศ
  • อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นกลุ่มที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุด ด้วยมูลค่ารวมถึง 5.2 แสนล้านบาท
  • อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีการลงทุนสูงรองลงมา ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (1.2 แสนล้านบาท) และยานยนต์และชิ้นส่วน (4.5 หมื่นล้านบาท)

การขอรับการส่งเสริม และการลงทุนในไทยยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้อยู่ในช่วงรอยต่อรัฐบาลที่อาจส่งผลให้นักลงทุนรายใหญ่ชะลอการตัดสินใจลงทุน เพื่อรอดูนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ และเปรียบเทียบจุดเด่น-จุดด้อยของไทยกับการลงทุนในประเทศคู่แข่งขันอื่น ๆ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า จากข้อมูลการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 ของต่างชาติ (FDI) และนักลงทุนไทยมีโครงการขอรับส่งเสริมการลงทุน 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138

โดยในแง่พื้นที่ขอรับการส่งเสริม พื้นที่ภาคตะวันออกมากที่สุด จำนวน 1,010 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 54 ของจำนวนโครงการทั้งหมด (ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECได้แก่ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) เงินลงทุน 660,631 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62 ของเงินลงทุนทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 333,654 ล้านบาท ภาคใต้ 20,081 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19,354 ล้านบาท ภาคตะวันตก 11,342 ล้านบาท และภาคเหนือ 4,571 ล้านบาท ตามลำดับ

EEC ยังมีมนต์ขลัง ต่างชาติแห่ลงทุนกว่า 6.6 แสนล้าน  ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ โตแรง

“ในจำนวนนี้ เป็นการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน 508 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 มูลค่าเงินลงทุน 218,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ส่วนมากเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน”

สำหรับโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมดิจิทัล มีจำนวน 89 โครงการ เงินลงทุนรวม 5.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ 2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีจำนวน 268 โครงการ เงินลงทุนรวม 1.2 แสนล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ เช่น การผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ เพื่อใช้ในระบบกักเก็บพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า การประกอบและทดสอบชิป การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) การผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ

3.อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีจำนวน 172 โครงการ เงินลงทุนรวม 4.5 หมื่นล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ เช่น การผลิตยางล้อ การผลิต Inverter สำหรับรถยนต์ การผลิตชิ้นส่วนประกอบของระบบจัดการความร้อนในรถยนต์ไฟฟ้า

4.อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน มีจำนวน 191 โครงการ เงินลงทุนรวม 4.2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และ 5.อุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหาร มีจำนวน 184 โครงการ เงินลงทุนรวม 3.1 หมื่นล้านบาท โครงการลงทุนที่สำคัญ เช่น การผลิตสารปรุงแต่งกลิ่นและรส อาหารสัตว์เลี้ยง การแปรรูปผลผลิตและเศษวัสดุทางการเกษตร

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

“ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้ว คาดทั้งปีนี้การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะไม่ตํ่ากว่าในปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่จำนวนโครงการ และมูลค่าการลงทุน(ปี 2567 มีโครงการขอรับการส่งเสริม 3,137 โครงการ เงินลงทุน 1.13 ล้านล้านบาท)”

ทั้งนี้ไทยมีจุดแข็งในหลายด้านที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งลงทุนที่มีความมั่นคง มีต้นทุนที่เหมาะสม และสามารถสร้างฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพระยะยาว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ พร้อมรองรับการลงทุน ทั้งนิคมอุตสาหกรรม ระบบโลจิสติกส์ ท่าเรือนํ้าลึก สนามบินนานาชาติ ระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน โครงข่ายอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง โครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นต้น