BOI จัดหนักดึงนักลงทุนพบนายกฯ-ลุยโรดโชว์โค้งท้าย ดูด FDI เข้าไทย 1 ล้านล้าน

18 ก.ย. 2568 | 22:29 น.

บีโอไอสั่งลุย ดึง FDI ลงทุนไทยโค้งท้ายรับรัฐบาลอนุทิน ชี้เปลี่ยนผ่านรัฐบาลไม่มีผลกระทบ มั่นใจทั้งปียอดขอรับส่งเสริมไม่ต่ำ 1.1 ล้านล้าน โชว์แผนโรดโชว์ตลาดใหญ่ สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ดึงอีวี เซมิคอนดักเตอร์ PCB ดาต้าเซ็นเตอร์ ปักฐานเพิ่ม พร้อมจัดงานนักลงทุนพบรัฐบาลใหม่สร้างเชื่อมั่น

KEY

POINTS

  • บีโอไอเตรียมจัดกิจกรรมให้นักลงทุนเข้าพบนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและรับทราบนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
  • มีแผนเดินหน้าจัดโรดโชว์ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าไปที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI)
  • ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนเพียงครึ่งปีแรกของปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 1.05 ล้านล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพของประเทศไทย

ระหว่างการรอโปรดเกล้าฯรัฐบาล “อนุทิน” เพื่อนำเข้าสู่ขั้นตอนการถวายสัตย์ปฏิญาณ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติจับตาทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของไทยอย่างใกล้ชิด แม้รัฐบาลจะมีวาระบริหารเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา แต่ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นจังหวะสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาคและการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่บีโอไอยังมีความเชื่อมั่นว่าในปีนี้การขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติรวมถึงนักลงทุนไทยจะไม่ต่ำกว่าในปีที่ผ่านมาทั้งในแง่โครงการ และเม็ดเงินลงทุน (ปี 2567 การขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีจำนวน 3,137 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1.13 ล้านล้านบาท)

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)

ชี้ลงทุนระยะยาวมองปัจจัยพื้นฐาน

ทั้งนี้การลงทุนเป็นการวางแผนระยะยาว นักลงทุนจะมองที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศเป็นหลักมากกว่าความผันผวนทางกรเมืองระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซัพพลายเชน บุคลากร สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ ต้นทุนการประกอบธุรกิจ สิทธิประโยชน์ และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเชื่อว่าทุกรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ

 “แต่แน่นอนว่าการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพเพื่อผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนอยากเห็นด้วย นอกจากนี้การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอเป็นกลไกที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ระเบียบ และมาตรการที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าสิทธิประโยชน์และกระบวนการพิจารณาจะไม่สะดุดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล”

ขอส่งเสริมครึ่งปีทะลุ 1 ล้านล้าน

อย่างไรก็ดีแนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก โดยช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. - มิ.ย. 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.05 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค

BOI จัดหนักดึงนักลงทุนพบนายกฯ-ลุยโรดโชว์โค้งท้าย ดูด FDI เข้าไทย 1 ล้านล้าน

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีจำนวน 1,504 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 มูลค่าเงินลงทุน 904,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 90 คาดว่าจะเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 110,000 ตำแหน่ง มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 3.6 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 7.8 แสนล้านบาท/ปี

ส่วนการออกบัตรส่งเสริม มีจำนวน 1,310 โครงการ ลดลง 2% เงินลงทุนรวม 652,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 ซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด และเม็ดเงินเหล่านี้จะทยอยเกิดเป็นการลงทุนจริงภายใน 1-3 ปี

 “สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แบ่งเป็นโครงการที่คนไทยถือหุ้นทั้งสิ้น จำนวน 463 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เงินลงทุนรวม 1.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66ส่วนโครงการที่ต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้น มีจำนวน 1,096 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 เงินลงทุนรวม 6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 151 และโครงการร่วมทุนระหว่างคนไทยและต่างชาติ จำนวน 321 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เงินลงทุนรวม 2.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 195”

อุตสาหกรรมดิจิทัลนำลงทุนสูงสุด

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดใน 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมดิจิทัล เงินลงทุนรวม 5.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจ Data Center 2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เงินลงทุนรวม 1.2 แสนล้านบาท

 3.อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเงินลงทุนรวม 4.5 หมื่นล้านบาท 4.อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เงินลงทุนรวม 4.2 หมื่นล้านบาท 5.อุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปอาหาร เงินลงทุนรวม 3.1 หมื่นล้านบาท 6.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เงินลงทุนรวม 2.7 หมื่นล้านบาท 7.อุตสาหกรรมการแพทย์ เงินลงทุนรวม 1.9 หมื่นล้านบาท 8.อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เงินลงทุนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท 9.อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ เงินลงทุนรวม 5,500 ล้านบาท และ 10.อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เงินลงทุนรวม 2,400 ล้านบาท

EV-เซมิฯ-ดาต้าเซ็นเตอร์ มาแรง

 อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรม/ธุรกิจ ที่ยังมาแรงในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในเวลานี้ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) และชิ้นส่วน โดยเฉพาะ “การผลิตเซลล์แบตเตอรี่” เนื่องจากมีการลงทุนผลิต xEV ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไทยเป็นฮับการผลิตที่เชื่อมต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบกับกระแสการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบกักเก็บพลังงาน จึงทำให้นักลงทุนที่ผลิตแบตเตอรี่เซลล์สนใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตในไทย รายสำคัญ เช่น Sunwoda ได้รับอนุมัติลงทุน 50,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานเซลล์แบตเตอรี่สำหรับ EV และระบบกักเก็บพลังงานในไทย

เซมิคอนดักเตอร์ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) โดยเหตุผลที่เลือกไทยเป็นพื้นที่ลงทุน เพราะไทยมีฐานอุตสาหกรรมปลายน้ำขนาดใหญ่ โดยเฉพาะซัพพลายเชนที่เข้มแข็งของอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ รวมถึงการมีทำเลที่ตั้งเหมาะสมและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการลงทุน ซึ่งช่วยลดระยะเวลา ลดต้นทุนและความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์ของห่วงโซ่อุปทาน

Data Center และ Cloud & AI Infrastructure เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI โดยเหตุผลสำคัญที่เลือกประเทศไทย เพราะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลพร้อม ทั้งโครงข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีดาต้าเซ็นเตอร์มาตรฐานสูง รัฐมีนโยบาย Cloud First Policy เพื่อกระตุ้นการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล มีความมั่นคงเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติต่ำ และสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งน้ำและไฟฟ้ามีเพียงพอรองรับการลงทุนได้ อีกทั้งยังมีกลไกการจัดหาไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซึ่งตอบโจทย์การให้บริการ Data Center

BCG (Bio-Circular-Green) เนื่องจากทิศทางการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงกระแสของการดูแลรักษาสุขภาพ เมื่อรวมกับจุดแข็งของประเทศไทยในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความเข้มแข็งในด้านการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพ ส่งผลให้การลงทุนในด้าน BCG จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ลุยโรดโชว์-จัดนักลงทุนพบนายกฯ

“อย่างไรก็ดีเพื่อผลักดันการลงทุนในไทยให้เป็นไปตามเป้าหมายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ บีโอไอจะเดินหน้าจัดกิจกรรมเจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ชี้ทิศทางและโอกาสการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยมีแผนจัดกิจกรรมทั้งการโรดโชว์ต่างประเทศ ในเดือนกันยายนนี้จะไปที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป และช่วงไตรมาสสุดท้ายจะไปรุกประเทศสำคัญในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้”

นอกจากนี้ในส่วนของกิจกรรมในประเทศ มีแผนจัดงานให้นักลงทุนพบกับรัฐบาลใหม่ เพื่อรับทราบวิสัยทัศน์และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาล รวมถึงการจัดงานสัมมนานักลงทุนรายประเทศสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ รวมทั้งการจัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับบริษัทชั้นนำในกลุ่มยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนประเทศ

‘อนุทิน’ ลั่นหนุนลงทุนเดินหน้าต่อ

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการลงทุน และผลิตสินค้าในประเทศมากขึ้น โดยประเทศไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น ขณะเดียวกันไทยก็มีคู่แข่งขันมาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องตื่นตัวเพื่อความอยู่รอดของประเทศ ซึ่งจะเร่งหารือกับบีโอไอในเรื่องส่งเสริมการลงทุน ถึงแม้ว่า รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่มั่นใจว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ผลักดันให้ประเทศไทยเติบโต และทำให้ทุกฝ่ายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น

ขณะที่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า การลงทุนของต่างชาติในช่วงรอยต่อรัฐบาลใหม่นี้ มองว่า โครงการที่ได้รับการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว หรือเริ่มมีการก่อสร้างโครงการแล้วจะยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะการที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแผนการลงทุนไปประเทศอื่นในเวลานี้ทันทีในช่วงเวลาแบบนี้คงไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที เพราะการตัดสินใจไปลงทุนประเทศอื่นต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบว่า มีอะไรดีกว่าไทย

ท่ามกลางสถานการณ์ภาษีการค้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งเทียบอัตราภาษีที่ไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้รับก็ไม่แตกต่างกันมาก และไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 19-20 ไม่มีผลทำให้เกิดการย้ายฐาน ส่วนนักลงทุนรายใหม่ อาจมีต่อการตัดสินใจเพื่อรอดูทิศทางนโยบายการส่งเสริมการลงทุน และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับ โดยเปรียบเทียบและชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย เมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศอื่น