KEY
POINTS
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมว่าที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยระหว่างการหารือร่วมกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะกรรมการ ส.อ.ท. ว่า แม้ขณะนี้รัฐบาลกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ต้องการให้เวลาสูญเปล่า จึงเร่งหารือกับภาคเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีความท้าทายจากการแข่งขันของประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยไทยควรมองเห็นโอกาสจากการผลิตสินค้าส่งออก โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพการผลิตในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพา OEM (ผู้รับจ้างผลิต) เพียงอย่างเดียว
“ไทยไม่ควรเป็นแค่ผู้รับจ้างประกอบเท่านั้น ต้องใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มมูลค่าและขยายตัว GDP ให้ได้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยพยายามวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย แต่ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เพราะฉะนั้น ต้องหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น ร่วมมือกับคณะกรรมการส่งงเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) และภาคเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน”
นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงการทำงานร่วมกับข้าราชการประจำว่า ที่ผ่านมามีปัญหาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจนส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบาย แต่รัฐบาลชุดนี้จะไม่ยอมให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแน่นอน
“เชื่อในหลักการที่ว่า คนละพรรค แต่พวกเดียวกัน ทุกคนรู้จักกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ต้องใช้โอกาสนี้ร่วมมือกันเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า ตนเคยอยู่ในภาคเอกชนมาก่อน เข้าใจดีว่า หากเศรษฐกิจดี ทุกคนก็อยากทำมาหากิน อยากสร้างครอบครัว ไม่มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น”
นายอนุทิน กล่าวต่อไปอีกว่า จะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มที่ โดยปัญหาหนี้สิน และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ จะเป็นภารกิจหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และจะผลักดันให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
“ได้มีการประชุมกับผู้นำเศรษฐกิจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมแถลงนโยบายภายใต้เวลาที่จำกัด แต่ก็พยายามทำให้ครอบคลุมมากที่สุด แม้เวลาอาจจะน้อย นโยบายรัฐบาลจะเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อความมั่นคง และให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันเกิดความขัดแย้งที่อ่อนไหว”
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาอธิปไตยและเกียรติภูมิของประเทศ และขณะนี้ยังไม่มีการเปิดด่านชายแดน จนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจน โดยยืนยันว่าทุกการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยกำหนดไว้
“ต้องใช้ทุกกลไก ทั้งด้านการทูต การทหาร และเศรษฐกิจ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ความเป็นไทยต้องมาก่อน พร้อมกันนี้ ยังต้องหาทางสนับสนุนผู้ประกอบการและคู่ค้า ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ”