เบิกจ่ายงบลงทุนปี 68 พลาดเป้า งบกระตุ้นค้างท่อ 8.8 หมื่นล้านบาท

19 ก.ย. 2568 | 02:34 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ย. 2568 | 02:35 น.

กรมบัญชีกลางรับ เบิกจ่ายงบลงทุนปี 68 ทำได้เพียง 70% ต่ำกว่าเป้าหมาย 80% ด้านงบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.31 แสนล้านบาท เบิกจ่ายจริงเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท ยังเหลือกว่า 8.8 หมื่นล้านบาท เสี่ยงกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยปี 2568 แม้ไตรมาส 2 จะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากแรงส่งภาคการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นก่อนที่ภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับ แต่การบริโภคภาคเอกชนและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวยังชะลอลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยังเป็นแรงกดดันจ่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากความคาดหวังที่ต้องการให้การลงทุนภาครัฐมาเป็นตัวเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 คาดว่า จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้เกินสัดส่วน 70% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 80%

กรมบัญชีกลางมีการกำกับส่วนราชการอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเบิกจ่ายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ

 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในปีงบประมาณนี้ มีความท้าทาย เนื่องจากส่วนราชการมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินรวม 1.31 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีการก่อหนี้แล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท และเบิกจ่ายจริงเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท ยังเหลือวงเงินที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 8.8 หมื่นล้านบาท 

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง

'การเบิกจ่ายงบลงทุนปีนี้มีความท้าทาย เพราะหน่วยรับงบประมาณบางกระทรวงที่จัดซื้อจัดจ้างได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และยังได้งบกลางเพิ่มขึ้นอีก จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท' 

อย่างไรก็ตาม หากส่วนราชการเบิกจ่ายไม่ทันภายในปีงบประมาณนี้ สามารถผูกพันงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายในปีถัดไปได้ ไม่ต้องลงนามในสัญญา แต่จะต้องมีการออกประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคาก่อน 30 ก.ย.68 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง 

เบิกจ่ายงบลงทุนปี 68 พลาดเป้า งบกระตุ้นค้างท่อ 8.8 หมื่นล้านบาท

สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 วันที่ 12 ก.ย.68 มีการเบิกจ่ายงบประมาณรวม 3.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.27% แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท, รายจ่ายงบลงทุน 4.88 แสนล้านบาท, รายจ่ายลงทุนกรณีไม่ รวมงบกลาง 4.76 แสนล้านบาท, และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี 2.32 แสนล้านบาท 

ด้านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ ครั้งที่ 3/68 ได้ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

ปัจจุบันมีผลการเบิกจ่ายสะสม 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% ส่วนภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสมรวม 43,161.39 ล้านบาท คิดเป็น 91.11%   

ขณะที่งบรายจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2568 กระทรวงฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 212,213.68 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% แบ่งเป็น

  • รายการปีเดียว 7,896 รายการ วงเงิน 91,260 ล้านบาท ซึ่งมีการลงนามในสัญญาแล้ว 7,796 สัญญา วงเงิน 89,220 ล้านบาท คงเหลือ 100 รายการ วงเงิน 2,040 ล้านบาท
  • รายการผูกพันใหม่ 326 รายการ วงเงิน 24,184 ล้านบาท ลงนามในสัญญาแล้ว 179 สัญญา วงเงิน 11,112 ล้านบาท คงเหลือ 147 รายการ วงเงิน 13,072 ล้านบาทคาดว่า จะลงนามสัญญาครบทุกรายการภายในเดือนกันยายนนี้ 

'ได้เร่งรัดทุกหน่วยงานติดตามและตรวจสอบทุกการดำเนินงานในทุกโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ'นายสุริยะกล่าว 

ด้านงบลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงฯ วงเงิน 101,676.55 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสม 81,351.16 ล้านบาท คิดเป็น 80.01% โดยตั้งเป้าแผนเบิกจ่ายได้ 100% ภายในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้กระทรวงฯ มีแผนลงนามในโครงการสำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 5,137 รายการ วงเงิน 47,395.43 ล้านบาท 

สำหรับปีงบประมาณ 2569 กระทรวงฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 265,406.77 ล้านบาท โดยเป็นโครงการปีเดียว วงเงิน 162,301 ล้านบาท คิดเป็น 69.14% และโครงการผูกพันเดิมในปี 2568 วงเงิน 72,446 ล้านบาท คิดเป็น 30.86% แบ่งเป็น ส่วนราชการ 9 หน่วยงาน วงเงิน 199,955.92 ล้านบาท โดยเป็นรายจ่ายประจำ 12,050 ล้านบาท คิดเป็น 6.03% และรายจ่ายลงทุน วงเงิน 187,904 ล้านบาท คิดเป็น 93.97% 

ด้านรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน วงเงิน 65,450.84 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ วงเงิน 18,607 ล้านบาท คิดเป็น 28.43% และรายจ่ายงบลงทุน วงเงิน 46,843 ล้านบาท คิดเป็น 71.57% ซึ่งได้รับเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 20,829.80 ล้านบาท คิดเป็น 8.52% 

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญในปีงบประมาณ 2569 ประเมินว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันภายใต้งบประมาณดังกล่าวจำนวน 22 โครงการ วงเงิน 910,000 ล้านบาท เช่น

  • โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์)หมายเลข 8 (มอเตอร์เวย์) ช่วงนครปฐม-ปากท่อ-ชะอำ ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ
  • โครงการทางพิเศษ(ทางด่วน) กะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1
  • โครงการก่อสร้างระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน-ศาลายา
  • โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มธ.ศูนย์รังสิต
  • โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ
  • โครงการรถไฟความเร็วสูงรถไฟทางคู่ระยะ 2
  • โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย
  • โครงการพัฒนาท่าเรือคลองเตย ฯลฯ 

ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวภายหลังหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและทีมเศรษฐกิจว่า  ธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ  

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

หอการค้าไทยมีข้อเสนอระยะเร่งด่วน 4 เดือนให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง 

ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34–35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออกในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น“คนละครึ่ง” และ “Easy E-Receipt” รวมถึงรณรงค์ “ใช้ของไทย ฟื้น SME” พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน

ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ 

ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP

ด้านแรงงาน รัฐบาลควรกำหนดการปรับค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยใช้กลไกไตรภาคี รวมถึงหาทางออกต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

ขณะเดียวกัน ประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงร้อยละ 50 เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังควรเดินหน้านโยบาย Zero Corruption และบูรณาการการปราบปรามปัญหาสังคม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลโกงออนไลน์ และการพนันอย่างจริงจัง

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,133 วันที่ 21 - 24 กันยายน พ.ศ. 2568