เศรษฐกิจไทยปี 2568 แม้ไตรมาส 2 จะขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากแรงส่งภาคการส่งออกสินค้าที่เร่งขึ้นก่อนที่ภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับ แต่การบริโภคภาคเอกชนและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวยังชะลอลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ยังเป็นแรงกดดันจ่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากความคาดหวังที่ต้องการให้การลงทุนภาครัฐมาเป็นตัวเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลางเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 คาดว่า จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้เกินสัดส่วน 70% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 80%
กรมบัญชีกลางมีการกำกับส่วนราชการอย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเบิกจ่ายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในปีงบประมาณนี้ มีความท้าทาย เนื่องจากส่วนราชการมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้น จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติวงเงินรวม 1.31 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีการก่อหนี้แล้ว 6.5 หมื่นล้านบาท และเบิกจ่ายจริงเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท ยังเหลือวงเงินที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 8.8 หมื่นล้านบาท
'การเบิกจ่ายงบลงทุนปีนี้มีความท้าทาย เพราะหน่วยรับงบประมาณบางกระทรวงที่จัดซื้อจัดจ้างได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และยังได้งบกลางเพิ่มขึ้นอีก จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท'
อย่างไรก็ตาม หากส่วนราชการเบิกจ่ายไม่ทันภายในปีงบประมาณนี้ สามารถผูกพันงบประมาณ เพื่อเบิกจ่ายในปีถัดไปได้ ไม่ต้องลงนามในสัญญา แต่จะต้องมีการออกประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคาก่อน 30 ก.ย.68 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง
สำหรับภาพรวมการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 วันที่ 12 ก.ย.68 มีการเบิกจ่ายงบประมาณรวม 3.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.27% แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท, รายจ่ายงบลงทุน 4.88 แสนล้านบาท, รายจ่ายลงทุนกรณีไม่ รวมงบกลาง 4.76 แสนล้านบาท, และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี 2.32 แสนล้านบาท
ด้านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ของกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญ ครั้งที่ 3/68 ได้ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
ปัจจุบันมีผลการเบิกจ่ายสะสม 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% ส่วนภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสมรวม 43,161.39 ล้านบาท คิดเป็น 91.11%
ขณะที่งบรายจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2568 กระทรวงฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ 212,213.68 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย 127,629.81 ล้านบาท คิดเป็น 60.14% แบ่งเป็น
'ได้เร่งรัดทุกหน่วยงานติดตามและตรวจสอบทุกการดำเนินงานในทุกโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล และช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ'นายสุริยะกล่าว
ด้านงบลงทุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงฯ วงเงิน 101,676.55 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายสะสม 81,351.16 ล้านบาท คิดเป็น 80.01% โดยตั้งเป้าแผนเบิกจ่ายได้ 100% ภายในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้กระทรวงฯ มีแผนลงนามในโครงการสำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 5,137 รายการ วงเงิน 47,395.43 ล้านบาท
สำหรับปีงบประมาณ 2569 กระทรวงฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 265,406.77 ล้านบาท โดยเป็นโครงการปีเดียว วงเงิน 162,301 ล้านบาท คิดเป็น 69.14% และโครงการผูกพันเดิมในปี 2568 วงเงิน 72,446 ล้านบาท คิดเป็น 30.86% แบ่งเป็น ส่วนราชการ 9 หน่วยงาน วงเงิน 199,955.92 ล้านบาท โดยเป็นรายจ่ายประจำ 12,050 ล้านบาท คิดเป็น 6.03% และรายจ่ายลงทุน วงเงิน 187,904 ล้านบาท คิดเป็น 93.97%
ด้านรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน วงเงิน 65,450.84 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ วงเงิน 18,607 ล้านบาท คิดเป็น 28.43% และรายจ่ายงบลงทุน วงเงิน 46,843 ล้านบาท คิดเป็น 71.57% ซึ่งได้รับเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 20,829.80 ล้านบาท คิดเป็น 8.52%
สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญในปีงบประมาณ 2569 ประเมินว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันภายใต้งบประมาณดังกล่าวจำนวน 22 โครงการ วงเงิน 910,000 ล้านบาท เช่น
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวภายหลังหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและทีมเศรษฐกิจว่า ธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ
หอการค้าไทยมีข้อเสนอระยะเร่งด่วน 4 เดือนให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34–35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออกในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น“คนละครึ่ง” และ “Easy E-Receipt” รวมถึงรณรงค์ “ใช้ของไทย ฟื้น SME” พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน
ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP
ด้านแรงงาน รัฐบาลควรกำหนดการปรับค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยใช้กลไกไตรภาคี รวมถึงหาทางออกต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ขณะเดียวกัน ประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงร้อยละ 50 เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังควรเดินหน้านโยบาย Zero Corruption และบูรณาการการปราบปรามปัญหาสังคม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลโกงออนไลน์ และการพนันอย่างจริงจัง
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,133 วันที่ 21 - 24 กันยายน พ.ศ. 2568