บีโอไอ - ซีพี - หัวเว่ย ย้ำศักยภาพไทยศูนย์กลางลงทุนอาเซียน FDI โตสุดรอบ 10 ปี

27 ส.ค. 2568 | 07:45 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ส.ค. 2568 | 08:11 น.

บีโอไอ ซีพี และหัวเว่ย ย้ำศักยภาพการแข่งขันและความน่าดึงดูดของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางลงทุนอาเซียน สะท้อนจากเม็ดเงินลงทุน FDI ปี 2567 ขยายตัวกว่า 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยในงาน Thailand Focus 2025:  Beyond the Challenges ในหัวข้อ 'Thailand’s Competitiveness & Investment Outlook' (ศักยภาพการแข่งขันและทิศทางการลงทุนประเทศไทย) ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เห็นได้จากอัตราการเติบโตในการลงทุนในประเทศไทยในปี 67 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 66 ถึง 35% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี ที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหลักๆ คือ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น และประเทศไทยมีความโดดเด่นสำหรับนักลงทุน เพราะมีท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ 

อีกทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในแง่การคมนาคมและศูนย์รวมข้อมูลชั้นนำที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเป็นอย่างมาก

นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

โดยไทยได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และกำลังเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป และแคนาดาอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นในด้านซัพพลายเชน โดยเฉพาะในธุรกิจยานยนต์ และเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจพลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีก้าวหน้า

นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกมาตรการต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น การตั้งศูนย์บริการครบวงจร (one-stop service) ที่อาคารวัน แบงคอก และการออกวีซ่า 10 ปีพ่วงใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานที่มีทักษะ เป็นต้น

ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่และดึงดูดทั้งภาคธุรกิจและแรงงาน แต่สิ่งที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาก็คือความสามารถของแรงงานไทย ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ไทยยังมีศักยภาพการแข่งขันสูง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดมุมมองต่อประเด็น ปัญหากำแพงภาษีของสหรัฐฯ มีผลกระทบต่อประเทศไทยในแง่ศักยภาพการแข่งขัน และความน่าดึงดูดในการลงทุนว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี รวมถึงบริษัทในเครือ เช่น CP Axtra, CPF และ CP All มีการลงทุนในประเทศไทยรวมกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ประเทศไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง เห็นได้จากการลงทุนด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญในอาเซียนและภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะการลงทุนในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไทยเป็นฐานการลงทุนโดยตรงอันดับหนึ่งของประเทศจีนในภูมิภาคอาเซียน

สาเหตุหลักที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง คือ การที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์เชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพสูง หมายถึงประเทศไทยได้เปรียบในแง่ฐานที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน แรงงานที่มีทักษะ ทั้งที่เป็นแรงงานในประเทศและแรงงานต่างประเทศที่เลือกมาพำนักในประเทศไทย

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายต่างๆ ของประเทศที่ดึงดูด เอื้อให้แรงงานและภาคธุรกิจต่างประเทศต้องการมาลงทุน/ทำงานในไทย เช่น นโยบายอนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยได้ 99 ปี เป็นต้น แม้จะมีความท้าทายปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ประเทศไทยก็ยังเป็น 'ที่ที่ใช่' สำหรับนักลงทุนในระยะยาวอย่างแน่นอน

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับประโยชน์จากกำแพงภาษี เพราะในอดีตเครือฯ ได้นำเข้าวัตถุดิบจากอเมริกาใต้และยุโรป การนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯ จะส่งผลดีให้กับเครือฯ ได้มากขึ้นในระยะยาว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวโพด ที่ควรจะพัฒนาจากการเพาะปลูกดั้งเดิมไปสู่การเพาะปลูกแบบอุตสาหกรรม รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ต่างๆ เช่นกัน ที่ควรพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูก และรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาการเพาะปลูกซึ่งกันและกัน

เกมการค้าเปลี่ยนได้ตลอด

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กำแพงภาษี 19% จากสหรัฐฯ รวมทั้งสงครามเทคโนโลยีเป็นเกมระยะยาวที่สามารถปรับเปลี่ยนและเจรจาได้ตลอดเวลา ขณะนี้ประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและเป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับนักลงทุน ทำให้ประเทศไทยยังถือว่าได้เปรียบอยู่ อีกทั้งทีมเจรจาของรัฐบาลก็กำลังพยายามเจรจากับสหรัฐอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ประเทศไทยได้ผลประโยชน์สูงสุด 

ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ด้วยความมุ่งหวังที่จะตั้งฐานที่มั่นในไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความแข็งแกร่งทางภูมิศาสตร์ และมีความต้องการในเทคโนโลยีระดับสูง ส่งผลให้ตอนนี้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีในอาเซียน

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

อีกทั้งยังเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพที่จะขยายเป็นศูนย์กลางของโลกในอนาคต เพราะในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการลงทุน และทุกภาคธุรกิจต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการดำเนินการและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

นอกจากนี้ นโยบายต่างของรัฐบาล เช่น นโยบาย Cloud First Policy แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และประเทศไทยกำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยี เช่น หัวเว่ย

บริษัทไม่ได้มองแค่ว่าประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังเป็นมิตรประเทศกับประเทศจีน ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์กันมายาวนานและจะพัฒนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปผ่านการลงทุนทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเด็นซัพพลายเชน มองว่าไทยได้พบกับความท้าทายอันหลากหลาย แต่ก็เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจเช่นกัน เพราะทำให้ภาคธุรกิจซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ต้องสร้างความแตกต่างในการบริการให้กับกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ภาคเกษตรกรรม เป็นต้น

การนำเทคโนโลยี และ AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจก็ทำให้การเพาะปลูกทำได้มาตรฐานยิ่งขึ้น และทำให้ภาคเทคโนโลยีต้องยิ่งพัฒนาตนเอง เช่น หัวเว่ย เน้นการลงทุนในการวิจัยและพัฒนามากถึง 25% ของงบประมาณในแต่ละปี 

วางนโยบายให้ดึงดูดแรงงานต่างชาติ

สิ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาช่องว่างทักษะในแรงงานได้ก็คือ การวางนโยบายให้ดึงดูดแรงงานต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศ นอกจากจะเป็นทางลัดในการแก้ปัญหา ยังเอื้อให้มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับแรงงานไทยอีกด้วย

โดยจะทำให้แรงงานไทยพัฒนาทักษะและสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนใน ภาคธุรกิจ Wellness และการแพทย์ในไทยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับแรงงานต่างชาติเป็นอย่างมาก