KEY
POINTS
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ.กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า
เมื่อเร็วๆนี้ ญี่ปุ่นได้ลงนามเอกสารเกี่ยวกับการลงทุนจากญี่ปุ่นที่ตกลงกันระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ทั้งนี้ ทำเนียบขาวประกาศว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่อิงตามข้อตกลงล่าสุดระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งจะลดภาษีนำเข้า สำหรับรถยนต์และสินค้าอื่นๆ เหลือ 15% ลดลงจาก 25% ที่กำหนดไว้แต่เดิม
ขณะเดียวกัน สินค้าที่มีอัตราภาษีศุลกากรเดิมอยู่ที่ 15% ขึ้นไป จะไม่ถูกเรียกเก็บ “ภาษีต่างตอบแทน" และสินค้าที่มีอัตราภาษีศุลกากรต่ำกว่า 15% จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 15% ซึ่งรวมถึงอัตราภาษีศุลกากรเดิมด้วย ภาษีศุลกากรสำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จะลดลงจาก 25% เหลือ 15% เช่นกัน นอกจากนี้ จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนในส่วนของอากาศยานและชิ้นส่วนอากาศยาน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใน 7 วันหลังจากมีการเผยแพร่คำสั่งของประธานาธิบดี ทั้งนี้ คำสั่งของประธานาธิบดียังระบุด้วยว่าจะไม่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าที่มีอัตราภาษี 15% ขึ้นไป อย่างไรก็ดี ภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นหลายประเภทได้ปรับขึ้น 15% มาตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อมาตรการตามคำสั่งประธานาธิบดีฉบับนี้มีการบังคับใช้ จะมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2568
ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะนำเสนอโอกาสให้กับสหรัฐในด้านต่างๆ เช่น การผลิตและการเกษตร นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้เพิ่มการนำเข้าข้าวจากสหรัฐอเมริกา 75% ภายใต้ระบบ "Minimum Access" ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นจะต้องนำเข้าข้าวโดยไม่เสียภาษีประมาณ 770,000 ตันต่อปี และยังมีประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะลงทุนในสหรัฐฯ 550,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ภาคธุรกิจญี่ปุ่นตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาของการลดภาษีศุลกากร คำสั่งของประธานาธิบดีได้สะท้อนถึงเนื้อหาของข้อตกลงล่าสุดระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับคำขอของญี่ปุ่นอีกด้วย อย่างไรก็ดี ยังต้องมีการหารือในรายละเอียดกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอัตราภาษียังสูง เมื่อเทียบกับของเดิมที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอาจสูญเสียรายได้คิดเป็นชั่วโมงละ 100 ล้านเยน หรือวันละ 1,000 – 2,000 ล้านเยน
ขณะที่นักวิเคราะห์ในญี่ปุ่นยังมองว่าจะทำให้GDP ลดลงและส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจึงถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้เตรียมแผนจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมได้เตรียมมาตรการสนับสนุนการขยายตลาดของผู้ประกอบการญี่ปุ่นด้วย
ทั้งนี้ ยังมีความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์อาจเรียกเก็บภาษีจากเซมิคอนดักเตอร์และเภสัชภัณฑ์ จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยจะพิจารณาสถานการณ์เป็นรายไตรมาส เพื่อให้เกิดการลงทุนในสหรัฐฯ ตามที่ได้ตกลงกันไว้
ขณะเดียวกัน ต้องติดตามการพิจารณาของศาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับการใช้อำนาจกำหนดมาตรการทางภาษีของประธานธิบดีทรัมป์ ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินให้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลชั้นล่างที่ว่าการเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนและมาตรการอื่นๆ ที่บังคับใช้โดยรัฐบาลทรัมป์นั้นเกินกว่าอำนาจที่มีอยู่ ดังนั้นจึงถือเป็นโมฆะและผิดกฎหมาย ซึ่งมีรายงานข่าวว่ารัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแล้ว
อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีศุลกากรจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำตัดสิน ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ