“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายสืบวงษ์ สุขะมงคล” นายกสมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ระบุโดยเฉลี่ยในแต่ละปีไทยมีการนำเข้ากากถั่วเหลืองประมาณ 7 ล้านตัน มีมูลค่าตลาดกว่าแสนล้านบาท ล่าสุดสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจ การค้าโลกชะลอตัว สงครามจริง และสงครามการค้ายังปะทุต่อเนื่อง ภาคเอกชนจะปรับตัวอย่างไรฟังจากเสียงสะท้อน
ราคากากถั่วเหลืองต่ำสุดรอบ 10 ปี
นายสืบวงษ์ กล่าวว่า ปีนี้สถานการณ์กากถั่วเหลืองในตลาดโลก ราคาตํ่าที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ถั่วเหลืองรายสำคัญอันดับต้นๆ ของโลก ยังไม่มีการซื้อทำให้ทั่วโลกยังคงจับตาการเจรจาการค้าในเรื่องภาษีระหว่างรัฐบาลจีนกับสหรัฐอเมริกาจะมีจุดจบแบบใดซึ่งยังไม่มีข้อสรุป แต่ถ้าเมื่อใดจีนกับสหรัฐเจรจาตกลงกันได้ราคากากถั่วเหลืองจะปรับสูงขึ้นได้ และต่อไปจะส่งผลกระทบไปยังราคาเนื้อหมู เนื้อไก่ อาจจะแพงขึ้นในอนาคต จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น
“ในปี 2568 สมาคมฯมีการประเมินการนำเข้ากากถั่วเหลืองปริมาณ 7 ล้านตัน มีมูลค่าแสนล้านบาท โดยคำนวณราคากากถั่วเหลืองที่กิโลกรัมละ 14 บาท มองว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของประเทศ และเราก็สามารถผลิตเนื้อสัตว์ส่งออกได้มากกว่าโดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างไรก็ดีการนำเข้ากากถั่วเหลืองเวลานี้ทางผู้ซื้อที่มีสิทธินำเข้า จำนวน 11 ราย โดยจะต้องรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองจากเกษตรกรภายในประเทศให้หมดก่อนถึงจะอนุมัติให้นำเข้าได้ ปัจจุบันมีปริมาณ 3 หมื่นตัน ในราคาประกันอยู่ที่ 29 บาทต่อกิโลกรัม”
ในส่วนของประเทศไทย มองว่าหน่วยงานรัฐไม่ควรส่งเสริมให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลือง จากราคาสู้ต่างประเทศไม่ได้ น่าจะไปปลูกข้าวโพดทดแทนมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบการแข่งขันระหว่างเมล็ดถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเป็นเมล็ด เพื่อไปผลิตเป็นนํ้ามันภาษีศูนย์เปอร์เซนต์ ส่วนกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามา เสียภาษี 2% จะมีความได้เปรียบมากกว่า ซึ่งมองว่าไม่ได้เป็นคู่แข่ง แต่เป็นคู่ค้ามากกว่า โดยสรุปคือทางรอดของประเทศไทยจะต้องทำเกษตรมูลค่าสูงเท่านั้น
สำหรับ “กากถั่วเหลือง” จะใช้ผสมในอาหารสัตว์ สัดส่วน 30-40% ซึ่งน้อยกว่าข้าวโพด ซึ่งมีคนตั้งคำถามว่าอยากให้ใช้ข้าวทดแทนกากถั่วเหลืองได้หรือไม่ ซึ่งมองว่าไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสูตรอาหาร และอีกด้านจะเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทาง และยังมีคำถามว่าทำไมไม่จูงใจให้ชาวนาเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพดแทน เพราะในประเทศรับซื้อ 100% อยู่แล้ว หรือทำไมไม่ส่งเสริมปลูกมันสำปะหลัง เพราะในประเทศความต้องการสูงมาก ซึ่งคำตอบก็เช่นเดียวกับถั่วเหลืองคือหากนำเข้ามาถูกกว่าดีกว่าจะไปปลูกทำไม?
ธุรกิจปศุสัตว์เติบโตเฉลี่ย ปีละ 3-5%
นายสืบวงศ์ กล่าวอีกว่า ภาคปศุสัตว์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้านโยบายภาครัฐเอื้ออำนวยความสะดวกจะทำให้เครื่องยนต์ของภาคปศุสัตว์สามารถที่จะเติบโตได้สูงขึ้น แต่ถ้ามีมาตรการที่เป็นข้อจำกัดก็จะทำให้เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่ง แล้วจะทำให้มีโอกาสเติบโตได้ทัน และแซงประเทศไทยได้ในที่สุด
“ปีนี้ราคาถั่วเหลืองตํ่าสุดในรอบ 10-20 ปี เนื่องจากผลผลิตโลกมีจำนวนมาก และภาวะเศรษฐกิจของจีนซึ่งเป็นผู้ใช้รายใหญ่ไม่ดี ทำให้คนในประเทศประหยัดการใช้เงินก็ส่งผลทำให้ราคาตกตํ่าลงมา และไทยมีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดีมองว่าภาคปศุสัตว์ยังไปได้เมื่อนำไปไปเฉลี่ยกับราคาวัตถุดิบตัวอื่นที่มีราคาสูง แต่หากเมื่อไรทางสหรัฐฯ กับจีนตกลงกันได้ในเรื่องภาษีนำเข้า แล้วก็มาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯจะทำให้ราคาปรับขึ้นมาได้ ดังนั้นผู้ที่ใช้วัตถุดิบหรือสมาคมเองก็ต้องบริหารความเสี่ยง เช่น ต้องซื้อในช่วงนี้มากขึ้น เป็นต้น”
นำเข้าแลกภาษีทรัมป์อาจไม่พอ
ส่วนกรณีที่ไทยจะนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไปใช้ในการต่อรองภาษีของสหรัฐ มองว่าเป็นปริมาณที่น้อยเกินไป โดยพิจารณาคำนวณผลผลิตข้าวโพดในประเทศ 5 ล้านตัน หากคำนวณจากมาตรการรัฐที่ให้รับซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน เมื่อหาร 3 สามารถนำเข้าข้าวสาลี ได้ 1.6 แสนตัน ส่วนที่เหลือเปิดโควตาเพิ่มให้ข้าวโพด รับซื้อรวมแล้วไม่เกิน 1 ล้านตัน ซึ่งประเด็นนี้เชื่อว่าสหรัฐ ไม่น่าจะรับข้อเสนอ
“จากการคำนวณ 1 ล้านตัน ต้องรับซื้อข้าวโพดในประเทศ 9 บาท แล้วหักส่วนนำเข้าข้าวสาลีแล้วมาคิดในส่วนการนำเข้าข้าวโพด มูลค่าจะเท่ากับ 9,000 ล้านบาท และอีกด้านการขยายโควตาเพิ่ม 1 ล้านตัน ไม่ได้บังคับให้ซื้อข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งก็มองว่า สหรัฐฯได้อะไร ซึ่งเขาอาจไม่ต้องการ อย่างไรก็ตามคงต้องหาทางให้ทางคู่ค้าได้รับประโยชน์บ้าง เนื่องจากผู้ส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐจะโดน 2 เด้ง คือภาษีและค่าเงินบาทที่แข็งค่ากระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ก็อยากให้รัฐบาลดูแลภาพรวมให้ดีทั้งสองฝ่ายและภาพรวมทั้งประเทศ”
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,107 วันที่ 22 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568