แหล่งข่าวจากผู้ค้าโรงสกัดและกากถั่วเหลือง เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในวันนี้ (16 มิ.ย.68) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอาหารนโยบายและอาหาร ได้มีการกำหนดประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ราชการ เอกชนและเกษตรกร) เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณาแนวทางกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) ปี 2569-2571
“ปัจจุบันราคาถั่วเหลืองที่เกษตรกรทำสัญญากับโรงงานเอกชน ราคาเฉลี่ยรับซื้อ 19 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่สูงกว่าตลาดโลก 4-5 บาทต่อกิโลกรัม (ตลาดโลกราคา 14-15 บาทต่อกิโลกรัม) มองว่าไม่ควรส่งเสริมในการปลูก เนื่องจากผลผลิตน้อย ทำให้ต้นทุนเพิ่ม ดังนั้นอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแนะนำให้เกษตรกรไปปลูกพืชมูลค่าสูงดีกว่าถั่วเหลืองไม่คุ้ม และไม่อยากให้ไปผูกลดภาษีทรัมป์เหมือนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะเชื่อว่ามูลค่าน้อยเกินไป ยังไม่เหมาะกับการที่รัฐบาลจะไปต่อรอง น่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ”
ขณะที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อพัฒนาการผลิตถั่วเหลือง ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุม มีมติเห็นชอบเห็นชอบอนุมัติงบประมาณ จำนวน 6.9 ล้านบาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น จึงให้ดำเนินโครงการวิจัยพัฒนาพันธุ์ถั่วเหลืองให้มีความยาวของข้อแรกที่ติดฝักสูงจากพื้นดินเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถั่วเหลือง และเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
"เนื่องจากเห็นว่าปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองของประเทศไทยไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ความต้องการใช้ถั่วเหลืองในประเทศมีประมาณ 3.8 – 3.9 ล้านตันต่อปี แต่ปัจจุบันปี 2568/69 ประเทศไทยผลิตได้เพียง 15,875 ตันต่อปี จึงจำเป็นต้องมีการนำเข้าถั่วเหลืองจากต่างประเทศจำนวนมากถึง 3.8 - 3.9 ล้านตันต่อปี มูลค่าประมาณ 68,000 – 70,000 ล้านบาทต่อปี"
เปิดนโยบายราคารับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศขั้นต่ำที่กำหนด ปี 2566-2568
1.ภายใต้ WTO ภาษีร้อยละ 0 ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลา
2. ผู้มีสิทธินำเข้าในโควตา
3. ต้องทำสัญญารับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศ กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ กระทรวงพาณิชย์
กำหนดการประชุมหารือแนวทางกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลืองและปลาป่น) ปี 2569-2571